Dely146.doc ป่าสาละวิน อยู่รอดเพราะใคร(1)
ถ้าแหล่งพันธุกรรมไม้สักธรรมชาติพันธุ์ดีที่สุดในโลก อยู่ที่ป่าไม้สักธรรมชาติหน้าค่ายประตูผา อำเภองาว จังหวัดลำปาง ป่าไม้สักธรรมชาติผืนใหญ่ที่สุดที่ยังมีความอุดมสมบูรณ์กว่าแหล่งอื่นใดในประเทศนี้อยู่ที่ป่าสาละวิน จังหวัดแม่ฮ่องสอน เป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ และเป็นความวิบัติที่เกิดขึ้นอย่างแทบไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นได้เลย ความผิดตรงนี้อยู่ที่ไหน องค์กรหรือการบริหารองค์กร ที่แน่ๆใครจะเชื่อว่าพลังของสื่อมวลชนก็ปกป้องและรักษาป่าไม้ไว้ได้
ดร.อภิชาติ ขาวสอาด อดีตนักวิชาการป่าไม้ฝ่ายวนวัฒนวิทยา ผู้ที่ทำการทดสอบถิ่นกำเนิดไม้สักนานาชาติ โดยทำการศึกษาด้านการเจริญเติบโต รูปทรง ผลผลิตและคุณภาพเนื้อไม้ จากพันธุ์ไม้สักของประเทศอินโดนิเซีย อินเดีย พม่า ไทยและลาว พบว่า แหล่งพันธุกรรมไม้สักที่ดีที่สุดในโลกอยู่ที่ป่าไม้สักธรรมชาติหน้าค่ายประตูผา อำเภองาว จังหวัดลำปาง อยู่ริมถนนพหลโยธินที่หน้าค่ายทหารประตูผา ที่นั่นแหละแหล่งงพันธุกรรมพันธุ์ดีที่สุดในโลก แต่มีจำนวนต้นสักที่เหลืออยู่กลุ่มเดียวเท่านั้น
นายวิชาญ ตราชู นักวิชาการป่าไม้ กองจัดการป่าไม้(เดิม)ได้ทำการศึกษาถึงแหล่งที่มีไม้สักธรรมชาติในป่าต่างๆทั่วประเทศพบว่า ในพื้นที่ป่าจังหวัดแม่ฮ่องสอนมีไม้สักเหลืออยู่เป็นผืนใหญ่ที่สุด มีความหนาแน่นมากที่สุด และเชื่อกันมากในหมู่นักวิชาการป่าไม้ของกรมป่าไม้ว่า ที่นี่แหละคือแหล่งป่าไม้สักธรรมชาติผืนใหญ่ที่สุดที่เหลืออยู่ของประเทศไทย ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่แหล่งพันธุกรรมที่ดีที่สุดในโลกก็ตาม ก็ยังมีความน่าหวงแหนเป็นอย่างยิ่ง เพราะว่ามันกำลังจะสูญพันธุ์ดีๆไปแล้ว
เมื่อข่าวป่าสาละวินถูกลักลอบตัดออกมาเป็นจำนวนมาก โดยสื่อมวลชนเป็นผู้พบและปลุกกระแสให้เกิดขึ้นอย่างจริงจังเมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2540 จนในที่สุด นายปองพล อดิเรกสาร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ประกาศว่าจะเดินทางไปดูพื้นที่จริงป่าสาละวินเมื่อกลางเดือนธันวาคม พ.ศ.2540 พร้อมคณะสื่อมวลชนจากสายข่าวกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ระหว่างรออยู่นั้นคอลัมนิสท์กรอบหัวใจมีตีนของเดลินิวส์ ไปย่ำสันดอยแม่อูคอแล้วเขียนตอกย้ำว่าไม้สักไทยจากพม่าแน่ๆเป็นการแสดงออกที่ชัดเจนว่าไม้สักเหล่านั้นตัดในฝั่งไทยไปใส่โสร่งแปลงเป็นพม่า ถ้าโพกหัวมาด้วยอาจยิ่งครึกครื้นกว่านี้เป็นไม้สักมอญ และบากแค่หัวไม้อย่างเดียวคงเป็นไม้กระเหรี่ยง มันหยดไปเลย
หลังจากนั้นเรื่องราวของป่าสาละวินก็ปรากฏออกมาสู่สายตาของประชาชนยิ่งกว่านวนิยาย แทบไม่น่าเชื่อว่ากองไม้สักถูกลักลอบตัดออกมาจากป่าได้มากมายขนาดนั้นได้อย่างไร เพราะว่าพื้นที่ที่ตัดออกมานั้นเป็นพื้นที่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสาละวิน อุทยานแห่งชาติสาละวิน (สองส่วนนี้สังกัดสำนักอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติซึ่งรับผิดชอบโดยตรง) และป่าสงวนแห่งชาติบางส่วน ซึ่งสามหน่วยงานนี้อยู่ต่อเนื่องกัน เป็นหน้าที่โดยตรงมี สำนักอนุรักษ์ฯ ป่าไม้เขตแม่สะเรียง ป่าไม้จังหวัดแม่ฮ่องสอน ฝ่ายปกครอง ฝ่ายศุลกากร ฝ่ายทหาร ฝ่ายตำรวจ(ป่าไม้ ภูธร ตชด.) ฝ่ายการเมือง ไม่เว้นแม้แต่สภาความมั่นคงฯ ฯลฯ รับผิดชอบอยู่ในจังหวัดเดียวกัน แต่ทุกคนปฏิเสธ
มีคำถามค้างคาใจที่เป็นไพ่ตายคือ ไม้ซุงไม่ใช่ไม้จิ้มฟันนะ มันรอดตารอดกฏหมายรอดด่าน รอดเจ้าหน้าที่บ้านเมืองไปได้อย่างไร ประชาชนตาดำๆน่ะยังไงเสียก็ต้องเอาหูไปนาเอาตาไปไร่แน่ๆ เรื่องอย่างนี้เกินกำลังและกลัวตาย มีคนแสดงพลังมากมายว่ารักป่าแต่ที่สาละวินไม่มีองค์กรพัฒนาภาคเอแกชนใดๆเลย ไม่ทราบไปอยู่ไหน
เป็นอันว่าที่ป่าสาละวินต้นสักต้องต่อสู้กับคมเลื่อยยนต์ทั้งวันทั้งคืน โดดเดี่ยวเดียวดายถึงที่สุดหมดไปมากกว่า 40,000 ต้น แต่มีคนไม่เชื่อว่าจะมีแค่นั้น และก็เชื่อกันว่าน่าจะมีมากกว่า 100,000 ต้นด้วยซ้ำไป ตามข่าวก็บอกว่ามี ซี 5 ป่าไม้บ้าง มีแฟกซ์ลึกลับบ้างที่เพียรพยายามที่จะสื่อให้เกิดความสนใจให้ได้ มีข้าราชการป่าไม้ระดับต่างๆเยี่ยมหน้าออกมาบ้าง หลบหน้าเป็นอีแอบบ้าง มีคนออกมาล้วนแต่ปฏิเสธ บ่ายเบี่ยงเลี่ยงหลีกกันไป ดูแล้วก็เกิดความสนุกไปอีกแบบหนึ่ง เสือ กลิ่นสัก ได้ตายจากไปแล้วแน่ๆ
มองย้อนไปอีกทีหนึ่ง เมื่อครั้งที่นายไพโรจน์ สุวรรณกร และนายผ่อง เล่งอี้ ผู้อำนวยการกองอุทยานแห่งชาติและกองอนุรักษ์สัตว์ป่า(แค่ชั้นเอก) เป็นเสือสองตัวในถ้ำเดียวกัน(กรมป่าไม้)เขาแข่งขันกันลุยปราบปรามผู้บุกรุกหรือตัดไม้ทำลายป่าหรือล่าสัตว์ในเขตรับผิดชอบกันอย่างเข้มแข็งและจริงจัง เป็นข่าวดังมาก นักวิชาการป่าไม้เด็กๆชื่นชมและติดตามข่าวการทำงานของท่านมาตลอดเวลา ทะเลาะกันไปทำงานแข่งกันไป ในที่สุดท่านทั้งสองได้เป็นอธิบดีกรมป่าไม้ทั้งคู่ ป่าอนุรักษ์ที่เหลืออยู่ก็คู่นี้แหละมีส่วนประกาศศักดิ์ศรีไว้มากมาย
เมื่อนายโฆษิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ อดีต รมว.กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้กำหนดโครงสร้างให้กองสองกองลดลงมาเป็น ส่วน(ฝ่ายใหญ่)แต่ระดับเป็น 8 แล้วตั้งผู้อำนวยการสำนักอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ บังคับบัญชาสองส่วนนี้โดยตรงได้ระดับสูงขึ้นเป็น 9 น่าขอบคุณนายโฆษิตที่ให้ระดับสูงขึ้น รวมงานมาเป็นกลุ่มก้อนกันชัดเจนดี สามารถระดมสรรพกำลังร่วมกันทำงานใหญ่ๆได้ด้วยอำนาจของระดับ 9 ได้ทันที เพราะกฏหมาย คน งบประมาณ รถยนต์ อุปกรณ์สื่อสาร พร้อมสรรพโดยเฉพาะวัตถุประสงค์หลักของอุทยานและสัตว์ป่าข้อ 1 คือต้องป้องกันรักษาป่าอนุรักษ์ที่สมบูรณ์เอาไว้ให้ได้อย่างยั่งยืน ก็วัตถุประสงค์เดียวกับสมัยนายไพโรจน์นายผ่องนั่นแหละ ที่เปลี่ยนบ่อยๆก็มีแต่คนทำงานครับ หากเกินกำลังก็ร้องขอจากหน่วยงานทั้งในและนอกสังกัดได้อีกต่างหาก ฯลฯ
แต่มาคิดอีกทีหนึ่งน่าจะตำหนินายโฆษิตหรือไม่ว่า ท่านได้ทำให้องค์กรใหญ่เทอะทะอุ้ยอ้าย รูปแบบการบริหารเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ บทบาทสำคัญต่อการปกป้องป่าและต้องปฏิบัติการถูกลดขนาดลงและสับสน คิดแล้วก็ชักไม่ค่อยสนุกเท่าไรเสียแล้ว เพราะว่าถ้าระดับผอ.ส่วนฯระดับ 8 จะออกไปทำอะไรก็ต้องขออนุมัติระดับสำนักฯ9 เลยโยนกันไปโยนกันมา พอดีไม้สักหมดป่าไปเป็นแสนๆต้น ขณะนี้เริ่มเกิดความสับสนว่าเขาตั้ง สำนักฯ กันขึ้นมาเพื่ออะไรกันแน่ เป็นความผิดของนายโฆษิตหรือไม่
ข้อเท็จจริงคือ การปกป้องป่าสาละวินครั้งนี้ ถ้าใครที่ติดตามและคิดพิจารณาจะพบว่า มีสื่อมวลชนทุกสาขาได้ร่วมกันกดดันและตีแผ่ความจริงออกมาอย่างต่อเนื่องและจริงจัง มิใช่เกิดแค่กระแสแต่อย่างเดียว ไม่ว่าคราวนี้ป่าสาละวินจะเสียหายไปเป็นมูลค่าเท่าใดก็ตาม แต่ป่าที่เหลืออยู่มีคุณค่าอันประเมินมิได้เป็นทวีคูณมากกว่า เพราะว่ามันเกิดจากวิญญาณของคนที่มีสำนึกและความรับผิดชอบต่อชาติบ้านเมือง ข้อควรชื่นชมและเป็นบทพิสูจน์คือ พลังของสื่อมวลชนสามารถพิฆาตมอดป่าลงได้อย่างเอกฉันท์ ครับ
เสียดายแทนสื่อบางสื่อและNGOsบางกลุ่มที่มัวไปทุบท่อก๊าซปตท.อยู่ ก็เลยพลาดโอกาสในการเป็นวีรบุรุษป่าไม้ไปในคราวนี้อย่างช่วยไม่ได้ คอยดูหน้าอีกทีหนึ่งตอนจะออกมาซ้ำเติมกรมป่าไม้ ไม่เชื่อคอยดูครับ แต่พอเหลียวหลังมาอีกที บรรดาสื่อหลายคนที่ทำงานนี้จนป่าเหลือรอดอยู่ได้ กลับตกงานเพราะว่าพิษ IMF แท้ๆ แม้ไม่มีใครรู้เห็นแต่พระผู้เป็นเจ้าคงเห็นความดีของท่านแน่นอนและขอบพระคุณที่มีความจริงใจต่อวิชาชีพของตนเองด้วยความซื่อสัตย์ ตรงไปตรงมา คนอย่างท่านสร้างชาติได้ครับ