Dely148.doc/25 เมย.41 นโยบายการป่าไม้แห่งชาติ พ.ศ.2528 เป็นหมัน
รัฐบาลประเทศใดๆในโลกล้วนเป็นผู้กำหนดนโยบายการป่าไม้แห่งชาติ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานหลักที่ต้องสนองด้วยการแปลงนโยบายไปปฏิบัติ โดยมีกรมป่าไม้เป็นผู้รับผิดชอบการนำนโยบายไปปฏิบัติ หากจะนับเนื่องตั้งแต่ นายพิชัย รัตตกุล รองนายกรัฐมนตรี ผู้เป็นประธานกรรมการนโยบายป่าไม้แห่งชาติในยุคสมัยหนึ่ง ได้มีการกำหนดนโยบายการป่าไม้แห่งชาติพ.ศ.2528 อย่างเป็นรูปธรรม
ตราบจนบัดนี้ถึงทีนายปัญจะ เกสรทอง รองนายกรัฐมนตรีผู้เป็นประธานกรรมการนโยบายป่าไม้แห่งชาติคนใหม่ จะเปลี่ยนแปลงนโยบายที่ล้าหลังให้ทันสมัยจะเกิดขึ้นหรือไม่ จะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ป่าจะหมดไปอีกเท่าไร แพะตัวต่อไปคือใคร หน่วยงานไหนจะรับบาปที่ถูกโยนกันไปโยนกันมา เพราะว่าหาผู้กระทำผิดไม่ได้ ในที่สุดก็ลงที่ประชาชนผู้ยากไร้
ณ ที่นี้ ขออนุญาตที่จะนำเสนอนโยบายการป่าไม้แห่งชาติพ.ศ. 2528 เสียก่อนเพื่อให้เห็นภาพว่า
แนวนโยบายในช่วงเวลานั้นกำหนดอย่างนั้น กรอบการปฏิบัติเป็นอย่างไร หากถือปฏิบัติกันจริงจังจะเกิดผลประการใด นโยบายการป่าไม้แห่งชาติ ตามมติ ครม.วันที่ 3 ธันวาคม พ.ศ.2528 มีสาระสำคัญเกี่ยวกับป่าไม้ของพื้นที่ประเทศ ดังนี้คือ การกำหนดให้มีพื้นที่ป่าไม้ทั่วประเทศอย่างน้อยในอัตราร้อยละ 40 %ของพื้นที่ประเทศ
หน่วยงานผู้ต้องสนองนโยบายคือกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นผู้แปลงนโยบายมาเป็นแผนปฏิบัติโดยมีกรมป่าไม้เป็นผู้ปฏิบัติ แต่น่าอนาจใจที่ไม่ได้นำนโยบายมาเป็นหลักยึดถือและแผนการปฏิบัติของหน่วยงานก็แปรเปลี่ยนไปตามกระแสทางการเมืองที่เปลี่ยนขั้วกันบ่อย เข้ามาคนหนึ่งก็ว่าไปอย่างหนึ่ง เข้ามาอีกคนหนึ่งก็แปรไปอีกอย่างหนึ่ง ตามแต่จะมีการคิดค้นหรือความคิดกระฉูดในนาทีนั้น
ใครที่ไม่เชื่อก็ลองไปเทียบเคียงดูว่า จากนโยบายการป่าไม้แห่งชาติพ.ศ.2528 กับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติแผนต่างๆจนถึงแผนฯ8 นี่ยิ่งไปกันคนละจักรวาลทีเดียว โดยเฉพาะหากนำมาเทียบกับแนวทางปฏบัติของแต่ละยุคสมัยของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ด้วยแล้ว ตอบได้ตรงนี้เลยว่า นโยบายการป่าไม้แห่งชาติพ.ศ.2528เป็นหมันไปแล้วอย่างสถาพร
สถานการณ์เช่นนี้ รัฐบาลนี้ โดยเฉพาะรัฐธรรมนูญใหม่ฉบับนี้ ประกอบกับทรัพยากรธรรมชาติเป็นทรัพยากรของทุกคน สิทธิ์และสียงเสมอกันที่จะปกป้องไว้ จึงสมควรจะมีการกำหนดนโยบายการป่าไม้แห่งชาติใหม่ เพื่อให้เกิดความสอดคล้องต้องกันและทันกับกาลเวลาในอนาคต ได้หรือไม่ หรือว่าต้องรอการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในอีกไม่กี่เดือนที่จะถึงนี้เสียก่อน เพราะว่าประธานกรรมการนโยบายการป่าไม้แห่งชาติเป็นนักการเมือง ซึ่งหาความมั่นคงไม่ได้ดังกล่าวมาแล้ว
จะเป็นไปได้หรือไม่ว่า คณะกรรมการนโยบายการป่าไม้แห่งชาติ สมควรปลอดจากการเมืองหรือห้วงเวลาการบริหารแผ่นดินของรัฐบาลใดๆ เพราะว่าทรัพยากรธรรมชาติอันหมายรวมถึงป่าไม้ สัตว์ป่า จุลินทรีย์และสิ่งแวดล้อม น่าที่จะแต่งตั้งจาก นักการเมือง วุฒิสมาชิก ข้าราชการประจำ อดีตข้าราชการประจำ นักวิชาการป่าไม้ อาจารย์มหาวิทยาลัย พ่อค้า ประชาชนและองค์กรพัฒนาภาคเอกชน เพื่อให้ครอบคลุมในทุกกลุ่มโดยมีความโปร่งใส มีความชัดเจน มีความน่าเชื่อถือ ได้รับการยอมรับและสามารถนำไปแปลงเป็นแผนปฏิบัติการได้แม่นตรงที่สุด ซึ่งคงจะต้องผ่านกระบวนการประเมินผลนโยบายเพื่อหาทางเลือกที่ดีที่สุดแล้วเปิดประชาพิจารณ์ตามหลักสากลอีกครั้งหนึ่ง
แต่ในห้วงเวลานี้ นายปัญจะ เกสรทอง ได้รับมอบตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 27 มกราคม พ.ศ.2541 เป็นประธานกรรมการนโยบายป่าไม้แห่งชาติ พร้อมกับให้ดำเนินการดังนี้
1. พิจารณาสำรวจสภาพของป่าไม้เพื่อตรวจสอบกับข้อมูลที่มีอยู่ในปัจจุบัน
2. เร่งรัดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง(กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงกลาโหม) ดำเนินการตามมาตราการที่ได้กำหนดให้มีผลในทางปฏิบัติอย่างแท้จริง โดยให้ความร่วมมือประสานการปฏิบัติกันอย่างใกล้ชิด
3. รายงานคณะรัฐมนตรีทราบ
ต่อมานายปัญจะ เกสรทองได้แต่งตั้งคณะทำงานติดตามผลการดำเนินงานเกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการทำลายทรัพยากรป่าไม้ ตามคำสั่งที่ 1/2541 ลงวันที่ 17 มีนาคม พ.ศ.2541 โดยมีพล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ รองเลาขาธิการนายกฝ่ายการเมือง เป็นประธานคณะทำงานดังกล่าว พร้อมกับมอบหมายงานให้รับผิดชอบให้มีอำนาจหน้าที่ ดังนี้
ตรวจติดตามผลการปฏิบัติงานของหน่วยงานและคณะกรรมการต่างๆที่ทำหน้าที่หรือมีความเกี่ยวข้องกับการป้องกันและปราบปรามการทำลายทรัพยากรป่าไม้ ประสานงานเร่งรัดให้หน่วยงานและคณะกรรมการต่างๆ ที่ทำหน้าที่หรือมีความเกี่ยวข้องกับการป้องกันและปราบปรามการทำลายทรัพยากรป่าไม้ ส่งข้อมูล เอกสาร ภาพถ่ายและรายงานต่างๆฯลฯ ให้แก่คณะทำงานตามความต้องการ ปฏิบัติงานตามที่ประธานคณะกรรมการนโยบายการป่าไม้แห่งชาติมอบหมาย รายงานผลการปฏิบัติงานให้ประธานคณะกรรมการนโยบายป่าไม้แห่งชาติได้ทราบความก้าวหน้าอย่างสม่ำเสมอ
ในสมัยรัฐบาลนี้ จะทำให้ป่าเกิดขึ้นครบ 40% ของเนื้อที่ประเทศตามนโยบายการป่าไม้แห่งชาติได้อย่างไร หรือว่ากะจะเอากันแค่รักษาป่าที่เหลืออยู่ 25.62%ไว้ให้ได้ก็เก่งแล้ว เพราะว่าทั้งกฏหมายทั้งหลายทั้งปวงที่เกี่ยวข้องกับป่าไม้ไม่ได้บังคับใช้อย่างเต็มกำลัง การปฏิบัติของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกหน่วยงานต่างคนต่างทำ ขาดเอกภาพในการบริหารจัดการอย่างมีรูปธรรม ทรัพยากรที่ได้รับมีการกระจุกตัวและไม่พอเพียงในบางจุด กำลังคนก็เช่นกันมีความคลาดเคลื่อนไปจากสมมติฐานที่ควรจะเป็นอย่างมากมาย ที่แน่ๆ คุณภาพของคนที่ปฏิบัติหรือที่เกี่ยวข้องมีความรู้แน่นอน แต่มีความจริงใจหรือไม่ เพียงใดกับงานในหน้าที่ ที่สำคัญคือ เครื่องวัดความจริงจังของงานอยู่ตรงไหน ทำดีได้ดีน้อยจัง
ยิ่งมานำเสนอว่าจะตั้งกรมใหม่ขึ้นก็ยิ่งจะไปกันใหญ่หรือไม่ เพราะว่าปัญหามันอยู่ที่อะไรกันแน่ คนหรือกรมกองหรือรัฐบาล สภาพปัญหาเหล่านี้ชี้ชัดว่ามันอยู่ที่คนๆๆ สำนักอนุรักษ์ฯวันนี้ป่าสาละวินเป็นยังไง จะเปลี่ยนนโยบายอีกกี่ครั้ง จะเปลี่ยนกรมกองอีกกี่กรมกอง จะเปลี่ยนรัฐมนตรีอีกกี่คน และจะเปลี่ยนรัฐบาลอีกกี่รัฐบาล ความจริงของปัญหาไม่ได้รับการแก้ไขตรงไปตรงมา ก็เท่านั้นกับเหล้าเก่าในขวดใหม่ ต่างคนต่างทำ ยังไงก็ไม่ 100 %ครับ