Dely161.doc/ ไกลสุดเขตประเทศ มีการพัฒนาป่ากับคน
อันเนื่องมาจากพระราชดำริขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัววันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ.2532 ให้พัฒนาชาวไทยภูเขาและผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยในพื้นที่จังหวัดน่าน โครงการพัฒนาเพื่อความมั่นคงพื้นที่ลุ่มน้ำน่านพื้นที่ที่ 1 ณ บ้านน้ำรีพัฒนา หมู่ที่ 12 ตำบลขุนน่าน อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จึงเกิดขึ้น เพื่อมุ่งเน้นการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการเกษตรกรรมเป็นอันดับแรก และพัฒนาพื้นฐานความเป็นอยู่ เพื่อให้คนอยู่ร่วมกับป่าได้โดยพึ่งพาและไม่รบกวนซึ่งกันและกัน
สุดเขตแดนประเทศไทย ณ บริเวณขุนน้ำน่านอันมีสาขาลุ่มน้ำย่อยที่ชื่อว่า ลำห้วยน้ำรี ลำห้วยน้ำช้าง และลำห้วยน้ำปูนโอบล้อมด้วยขุนเขาเสียดฟ้า รอยต่อกับเขตประเทศลาว มีระดับความสูงจากน้ำทะเลระหว่าง 800-1600 เมตร พื้นที่หมู่บ้านตั้งอยู่ในที่สูงระดับ 860 เมตรจากระดับน้ำทะเล ส่งผลให้หมู่บ้านแห่งนี้มีอากาศที่หนาวเย็นตลอดปี สภาพป่าทั่วไปเป็นป่าสนเขาผสมกับป่าดงดิบเขา
มีที่ราบกลางหุบเขาที่ไม่กว้างขวางนัก เป็นที่ตั้งของหมู่บ้านที่กำหนดพื้นที่อยู่อาศัยครอบครัวละ 50 ตารางวา ที่ดินทำกินครอบครัวละ 5 ไร่ รวม 174 ครอบครัว ได้รับหนังสือรับรองการเข้าทำประโยชน์ ตัดถนนเชื่อมต่อกับภายนอกเป็นระยะทาง 20 กิโลเมตร ก่อสร้างระบบน้ำประปาภูเขา มีสถานีอามัย มีโรงเรียนเพื่อพัฒนาเยาวชน จัดทำทะเบียนสำมะโนครัว บัตรประชาชน ไฟฟ้า มีการจ้างแรงงานปลูกป่าฟื้นฟูป่าต้นน้ำเสื่อมโทรม ฯลฯ
ส่งเสริมอาชีพการเกษตรกรรมแบบพืชไร่อายุสั้นและพืชผลไม้เมืองหนาวระยะยาว มีการทำนาดำเพื่อเพิ่มปริมาณผลผลิตที่ดีกว่าทำไร่ข้าวป่า จัดตั้งสหกรณ์การเกษตรจนได้รับผลกำไรจากการค้า สหกรณ์สามารถซื้อรถยนต์ขนาด 1 ตันได้เพื่อใช้ในการขนส่งพืชไร่และสินค้า เพิ่มรายได้รายหัวจากหัวละ 2,000 บาท/ปีเป็น 15,000-30,000 บาท ชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น มีความสุขมากขึ้น
ชาวลั้วแห่งบ้านน้ำรีพัฒนาเป็นคนไทยอีกกลุ่มหนึ่งที่มีสายสัมพันธ์อันไม่ไกลกันนักกับเชื้อชาติไทย ลักษณะผิวพรรณหน้าตาคล้ายคลึง ค่อนข้างคล้ำ ไม่มีศาสนาเชื่อผี ไม่มีภาษาเขียนแต่มีภาษาพูด มีงานประเพณีกินดอกแดง หรือเลี้ยงผีบ้านผีเมือง ฯไม่ใช่แต่เพียงผู้หวังแต่การรับจากโครงการ มีการร่วมใจกันถวายความจงรักษ์ภักดีด้วยการบริจาคโลหิตผ่านนายกเหล่ากาชาดจังหวัดน่านไปยังโรงพยาบาลน่าน อันถือเป็นราชพลีแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รวม 54,600 ซีซี
ลักษณะการพัฒนาเป็นรูปแบบการจัดหมู่บ้านป่าไม้ที่กรมป่าไม้เคยจัดให้กับผู้บุกรุกป่าสงวนแห่งชาติมาครั้งหนึ่ง หลักการและเหตุผลใกล้เคียงกัน แตกต่างกันแต่ว่า ที่นี่แก้ไขปัญหาเรื่องความมั่นคงชายแดนมากกว่าปัญหาป่าไม้เรื่องป่าไม้เสื่อมโทรม ถึงแม้ว่าจะเป็นหมู่บ้านที่ตั้งอยู่บนขุนต้นน้ำก็ตามที แต่ก็เป็นแนวกันชนระหว่างประเทศทั้งสองได้อย่างดี
โครงการนี้เริ่มตั้งแต่ปีพ.ศ. 2535-2539 เป็นระยะที่ 1 และเริ่มระยะที่ 2 ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2540-2544 เชื่อแน่ว่าโครงการนี้จะได้รับการยอมรับจากประชาชนเหล่านั้น มีความเป็นปึกแผ่นแน่นหนา มีความมั่นคงจากแนวคิดที่เคยแปรเปลี่ยน มีการพัฒนาพื้นที่อย่างมีระบบมากขึ้น มีความหวงแหนแผ่นดินว่าที่นี่คือบ้าน มีความอบอุ่นในชีวิตและมีความหวัง
ด้วยพระบารมีแผ่ไพศาลปกเกล้าเหนือกระหม่อมของพสกนิกรผู้ยากไร้ จักช่วยให้เขาเหล่านั้นได้สำนึกในหน้าที่ของประชาชนคนไทย แผ่นดินที่เขาเกิดและอยู่อาศัยจนเติบใหญ่ ได้อาศัยทำกินหล่อเลี้ยงชีวิตและขยายเผ่าพันธุ์ได้อย่างเช่นเดียวกับประชาชนคนไทยทั่วไป ร่วมกันถนอมรักษาป่า ต้นน้ำที่มีความสำคัญยิ่งแก่ลุ่มน้ำน่าน พัฒนาที่ดินทำกินอย่างยั่งยืน ลดการใช้สารเคมีที่อาจมีสารตกค้างสู่ลุ่มน้ำน่าน และลดการบุกรุกทำไร่เลื่อนลอยลงไป
ถึงวันนี้ คนเหล่านี้เป็นคนไทยทั้งกายและใจ จึงได้รับพระมหากรุณาธิคุณจาก สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ได้โปรดพระราชทานวโรกาสแก่ชาวบ้านน้ำรีพัฒนา ได้เฝ้าทูลละอองพระบาท 18-19 มิถุนายน พ.ศ.2541 นอกจากนั้นยังได้เสด็จเยี่ยมโรงเรียนบ้านน้ำรีพัฒนา พืชผักสวนครัวในโครงการอาหารกลางวัน ฯลฯ ที่ประทับใจแก่พสกนิกรคือ
“บินผ่านมา เห็นป่าต้นน้ำที่สูงชัน ให้ทำกินด้วยหรือ” พระองค์ทรงห่วงใยป่าต้นน้ำ พร้อมกับทรงเสด็จไปเยี่ยมชมกิจการโครงการอาหารกลางวันของโรงเรียนน้ำรีพัฒนา
ภายหลังการเสด็จกลับ นายสัมฤทธิ์ บัวเพชร นักวิชาการป่าไม้ 7 ว. หัวหน้าโครงการพัฒนาเพื่อความมั่นคงพื้นที่ลุ่มน้ำน่าน พื้นที่ที่ 1 ได้เล่าให้ฟังว่า กว่าจะถึงวันนี้ได้นั้น ได้รับความยากลำบากกันแสนสาหัส ทั้งหน่วยราชการที่เข้าร่วมกันดำเนิน เรียกว่าฝ่าแดนอันตรายกันทีเดียวเพราะว่าพื้นที่สีแดงแจ๋ตรงนี้คือเขตงานของพรรคคอมมูนิสท์แห่งประเทศไทย เป็นแหล่งเสบียงชุมใหญ่และเป็นเขตงานที่เข้าถึงได้ยาก ห่างไกลจากเส้นทางคมนาคม ลักษณะภูมิประเทศเป็นใจแก่การหลบซ่อนและฝังตัว เดินทางกันเข้ามาทำงานครั้งหนึ่ง กำหนดไม่ได้ว่าจะกลับออกไปวันใด
พื้นที่ตรงนี้ต้องใช้เวลาในการเดินทางจากจังหวัดน่านแต่ละครั้งประมาณในช่วงฤดูร้อน 5 ชั่วโมง และเป็น 7 ชั่วโมงในฤดูฝน ทั้งนี้เพราะว่าต้องวิ่งผ่านด้วยทางลาดยาง 135 กม.และเป็นดินลูกรัง 45 กม. ในช่วงเหล่านี้ต้องผ่านภูเขาสูงชัดมาก 45 กม. ถนนคับแคบ ผิวจราจรชำรุดเป็นแห่งๆ คดเคี้ยวมากทำให้การเดินรถยนต์เป็นไปด้วยความเชื่องช้า อันตราย เส้นทางนี้ผ่านอำเภอทุ่งช้างแล้วเข้ามายังบ้านกิ่มจันทร์ บ้านน้ำช้าง และในที่สุดก็ถึงบ้านน้ำรีพัฒนา
แต่อีกเส้นทางหนึ่ง ระยะทางประมาณ 150 กม. ผ่านอำเภอสันติสุข บ่อเกลือ ขุนน่าน ห้วยกานต์ น้ำรีพัฒนา เป็นถนนราดยาง 125 กม. เป็นลูกรัง 25 กม. ชั่วโมงการเดินทางไม่แตกต่างกันแต่อย่างใด ใช้เวลานาน 5-7 ชั่วโมง ต้องใช้รถยนต์โฟวีลไดรพ์ แต่เมื่อไปถึงยังหมู่บ้านแห่งนี้แล้ว ความเหนื่อยยากจากการเดินทางจะหายไป เพราะว่าภูมิประเทศที่สวยงาม สงบร่มเย็นและมีเสน่ห์
หนาวที่จะถึงในปลายฝนนี้ หากมีเวลา 3-5 วัน ใช้เงินเป็นค่าใช้จ่ายไม่มากนัก เดินทางมาจังหวัดน่านแล้วติดต่อที่สำนักงานป่าไม้จังหวัดน่าน หรือจะติดต่อก่อนการเดินทางมาถึงก็ยิ่งดี ไปใช้ชีวิตเรียบๆเพื่อการพักผ่อนท่ามกลางหุบเขาแสนสวย อากาศเย็นเยียบ ป่าไม้เขียวขจี ดีทีเดียว