NGOs กับความมั่นคงเรื่องอาหาร
มูลนิธิฟื้นฟูชนบท(FARM) เชิญให้ไปร่วมประชุมเชิงปฏิบัติการที่เมืองบาโคลอด เกาะนิโกรส ประเทศฟิลิปปินส์ เรื่องความมั่นคงเรื่องอาหาร(FOOD SECURITY) ซึ่งจัดการประชุมนานาชาติโดยองค์กรพัฒนาที่เรียกย่อๆว่า HEKS อันเป็นเงินบริจาคของกลุ่มโบสถ์ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ที่นับถือ โปรเตสแตนท์ ระหว่างวันที่ 19-23 กรกฎาคม พ.ศ.2541 ได้รับความรู้และความประทับใจในไมตรีของมนุษยชาติที่มีต่อกันมากมาย
ในการประชุมครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และความเข้าใจทั้งสถานการณ์ที่เป็นจริงและสถานการณ์ของอาหารในโลกที่สาม อันหมายถึงประเทศที่ยากจน แล้วร่วมกันหากลยุทธง่ายๆที่สามารถนำไปปฏิบัติได้ เสริมสร้างเครือข่ายระหว่างประเทศที่เจริญเหลือกินเหลือใช้กับ ประเทศที่ยากจน และในขณะเดียวกันก็เชื่อมโยงระหว่างประเทศที่ยากจนต่อประเทศที่ยากจน เพื่อสร้างอาหารให้มั่นคงและชุมชนยั่งยืนอยู่ได้ในศตวรรษที่ 21
นายแซมมวล อังเดรส์(Mr.Samuel Angdres) ได้กล่าวด้วยความเป็นห่วงว่า ปัจจุบันนี้มีประชากรในประเทศที่กำลังพัฒนา 800 ล้านคนที่อดอยากและหิวโหย ขาดสารอาหารและในจำนวนนั้นมีเด็กๆอายุต่ำกว่า 5 ขวบจำนวน 200 ล้านคน ขาดสารโปรตีนและพลังงาน ต้องนอนหลับไปในขณะที่ท้องยังหิวโหย ในจำนวนนั้นมี 88 ประเทศที่ผลิตอาหารได้ไม่พอเพียงที่จะเลี้ยงตนเองได้เช่น
ในประเทศอัฟริกากลาง 42 ประเทศ เอเชียและแถบแปซิฟิก 19 ประเทศ ละตินอเมริกันและแถบทะเลคาริบเบียน 9 ประเทศ อัฟริกาเหนือและตะวันออก 6 ประเทศและประเทศในยุโรปและรัฐอิสระอีก 12 ประเทศ ซึ่งนายแซมมวลได้กล่าวว่า ประเทศของเขานั้นทุกคนท้องอิ่มแล้ว มีความสุขมากเกินพอเพียง แต่ด้วยเมตตาของพระเจ้าซึ่งได้บัญญัติไว้ว่า “จงรักเพื่อนบ้านให้เหมือนรักพระเยซู” ศรัทธาอันแรงกล้าดังกล่าวจึงต้องช่วยเหลือกัน
หลังจากการประชุมเชิงปฏิบัติการผ่านไป ได้มีการจัดทำคำมั่นสัญญาร่วมกันในอันที่จะดำเนินการด้วยความมุ่งหวังที่จะสร้างความมั่นคงเรื่องอาหาร และสร้างชุมชนให้อยู่ร่วมกันได้อย่างยั่งยืนในศตวรรษที่ 21 ต่อไป ซึ่งเขาผู้บริจาคเหล่านั้นไม่เคยรู้จัก ไม่เคยเห็น ต่างเชื้อชาติ ต่างศาสนา ต่างผิวพันธุ์ และต่างระบอบการปกครอง
ในความหมายของคำว่า FOOD SECURITY ตามความเห็นของผมจึงหมายถึง ในหนึ่งครอบครัวมีอาหารกินได้ครบทุกมื้ออย่างพอเพียง มีกินอย่างสม่ำเสมอ เป็นอาหารที่มีคุณภาพดี หามาได้ด้วยความสะดวกง่ายดายและมีความพึงพอใจในอาหารนั้นๆ ส่วนจะได้อาหารเหล่านั้นมาจากทางตรงคือผลิตอาหารเองหรือทางอ้อมคือทำงานหาเงินมาซื้ออาหารหรือทั้งสองทางร่วมกัน โดยไม่ไปเบียดเบียนหรือลักขโมยของผู้อื่นมาแต่อย่างใด
ทั้งนี้ทุกคนในครอบครัวนั้นต้องช่วยเหลือตนเองเป็นอันดับแรกอย่างเต็มความสามารถ รู้จักไฝ่หาความรู้ ความชำนาญ ประสบการณ์ เรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ๆ วิธีการจัดการ เพื่อให้มีศักยภาพสูงสุดในการผลิตอย่างยั่งยืน จากเพื่อนบ้านหรือหน่วยราชการหรือองค์กรพัฒนาภาคเอกชนหรือบริษัทเอกชนรายใหญ่ๆแบบครบวงจร ที่เกี่ยวข้อง
เมื่อได้สร้างอาหารอย่างยั่งยืนในครอบครัวหนึ่งได้แล้ว ก็สามารถนำอาหารต่างชนิดกันไปแลกเปลี่ยนระหว่างเพื่อนบ้านกันได้ หรืออาจซื้อขายในราคามิตรภาพ ดังนั้นในหมู่บ้านหนึ่งๆหากทั้งคนมีอาหารมาก มีอาหารปานกลางและมีอาหารน้อยมีความเป็นหนึ่งเดียวกันได้แล้ว ก็อาจจะเชื่อมโยงกับหมู่บ้านอื่นๆหลายๆหมู่บ้าน อาหารก็จะเกิดการหมุนเวียนเป็นวัฏจักร จากระดับหมู่บ้านเป็นกลุ่มหมู่บ้านขยายออกไปเป็นเครือข่ายระดับอำเภอ จังหวัด และประเทศได้ ด้วยความเมตตาพึงพาอาศัยซึ่งกันและกัน
อย่างไรก็ตาม ในกระบวนการสร้างอาหารนานาประการนั้น จะต้องไม่นำไปสู่ผลกระทบต่อการทำลายทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม มนุษยชาติ ศิลปะ วัฒนะธรรม ประเพณี ศาสนา ความเชื่อ ค่านิยม ความรู้สึกและกฏหมายของบ้านเมือง
ไม่อดตายแน่ๆ โป๊ะเชะ!!
ในบรรดาNGOsที่มาร่วมประชุมจาก ประเทศไทย เขมร เวียตนาม ฟิลิปปินส์ อินโดนิเซีย บูกินาฟาโซ ไนเจอร์ โมซัมบิกซ์ เซเนกัล อินเดีย บังคลาเทศ สวิสเซอร์แลนด์ ฯ แตกต่างกันหลายอย่าง ภูมิประเทศ ภูมิอากาศ วัฒนะธรรม ประเพณี กฎหมาย การผลิตอาหารจึงเกิดปัญหา ดังนั้น เกือบทุกประเทศจึงสั่งนำเข้า “ข้าวไทย” แต่ถ้าป่าต้นน้ำยังคงถูกทำลายไม่หยุดยั้ง สักวันหนึ่งก็จะไม่มีน้ำจะทำนาผลิตข้าวมาหล่อเลี้ยงประชากรโลกได้อีกต่อไป
ผมเป็นชาวพุทธคนเดียวที่ได้ไปร่วมด้วยช่วยกัน ก็อดคิดถึงอดีตที่วัดกับบ้านเคยพึ่งพาซึ่งกันและกันมาตลอดไม่ได้ จะทำอย่างไรดีหนอที่จะเห็นวัด(พระและผู้ใจบุญ)ในประเทศไทยร่วมใจกันตั้งสันนิบาตวัดแล้วนำเงินที่จะไปสร้างสิ่งถาวรวัตถุทั้งหลายเพื่อลาภยศ มาลงเป็นเงินก้อนมหึมา ส่งผ่านกระบวนการพัฒนาภาคเอกชนของคนรุ่นใหม่ไฟแรงได้อย่างเขาบ้าง บัณฑิตตกงานมีมากขึ้นทุกวัน สิ่งดีๆที่คนอื่นทำกันอยู่นั้น แม้จะทำตามเขาก็เป็นเรื่องดีมิใช่หรือ?