วิถีชีวิตคนขยันที่อ่างทอง
กลับไปบ้านเกิดที่จังหวัดอ่างทอง ได้เห็นคนขยันทำกินกันยกหมู่บ้านแล้วปลื้มใจ ไม่มีคนอดอยากอย่างแน่นอน เพราะว่าทุกบ้านปลูกพืชผลเต็มพื้นที่ บ้านทุกหลังทำงานเก็บเกี่ยวพืชผักกันทั้งวัน มีการจัดการเป็นระบบ รวมตัวกันขายและช่วยให้เกิดงานต่อเนื่องถึงคนอีกหลายกลุ่ม การทำกินอย่างยั่งยืนเป็นทฤษฎีคนขยันที่ทำกันมานานกว่า 20 ปี เป็นตัวอย่างที่น่าจะนำไปใช้ได้ทุกที่
จากตัวจังหวัดอ่างทองก่อนถึงอำเภอวิเศษชัยชาญ มีแยกขวามือให้เลี้ยวรถไปตามถนนสายเล็กๆเข้าหมู่บ้านโพธิ์รังนก หมู่ที่ 2 ตำบลโพธิ์รังนก อำเภอโพธิ์ทอง ประมาณ 8 กม. จะพบกลุ่มบ้านหนาแน่นเรียงรายสองฟากถนน ทุกบ้านปลูกพืชผักพื้นบ้านนานาชนิด เช่นที่
บ้านของนายสุวิทย์ กะวะยาวง หนุ่มโสดเจ้าของที่ดิน 10 ไร่เศษ ปลูกบ้านชั้นเดียวอยู่กลางที่ดิน รอบๆบ้านปลูกชะอมเป็นแปลงเว้นแต่ทางเข้าออกบ้าน รอบรั้วปลูกมะพร้าว กระท้อน ดอกแค ใบยอ ขี้เหล็กบ้าน สะเดา กล้วยน้ำว้า กล้วยตานี ข่า ตะไคร้ มีบ่อปลาขนาดย่อมๆอยู่กลางสวน นายสุวิทย์เล่าว่าที่ดินตรงนี้เขาทำกินคนเดียวประมาณ 4 ไร่เท่านั้น อีก 6 ไร่เศษให้เขาเช่าทำนาเป็นรายปี ทำไม่ไหวแล้วเพราะว่าทุกๆวันเขาจะต้องเหลือเด็ดชะอมออกขาย จ้างแรงงานมาช่วยมัดเป็นกำ 2 คน แล้วก็นำไปขายเองด้วยรถมอเตอร์ไซด์
ในแต่ละวันเด็ดพืชผักในสวนไปขายแทบไม่เว้น เรียกว่ามีเงินหมุนเวียนเข้ามาไม่ขาดมือ หากเขาป่วยหรือหยุดก็ไม่ได้เงิน พืชผักที่ปลูกก็จะแก่เกินไปทำให้เกิดปัญหาตามมาคือต้องตัดแต่งใหม่ ดังนั้น การแตกยอดของพืชผักเหล่านี้ต้องเด็ดขายสม่ำเสมอ เป็นการบังคับให้ต้องขยันไปในตัว ปุ๋ยก็ใส่บ้างประปราย น้ำก็ใช้ระบบสปริงเกอร์หมุน หากตักรดด้วยแรงคนก็ทำไม่ไหว
“วันหนึ่งๆเด็ดชะอมแล้วกำด้วยกาบกล้วยตานี ห่อเป็นมัดด้วยใบกล้วยตานี ทนทานดีในการขนส่ง ส่วนกล้วยน้ำว้าก็จะตัดทั้งใบและผลกล้วยไปขาย ใช้ใบห่อไม่ดีแตกง่ายไม่ทนทานเท่ากล้วยตานี ชะอมกำละ 2 ขีด ขายส่งกำละ 2 บาท ประมาณกก.ละ 10 บาท วันละ 300-400 กำ แล้วแต่ฤดูไหนแตกดีไม่ดี เรียกว่าทุกอย่างในสวนนี้กินเองก็ได้แต่เมื่อเหลือก็ขายออกไป”
นายสุวิทย์เล่าว่า “ทำกินอย่างนี้มามากกว่า 20 ปีแล้ว เห็นเขาทำกันก็ทำตามอย่าง พืชผักที่ปลูกก็เอาทุกชนิดที่ขายได้ ที่เลือกชะอมมากหน่อยก็เพราะว่าขายได้ทั้งปี ปลูกครั้งเดียวเก็บเกี่ยวผลผลิตได้นานหลายสิบปี ไม่ต้องปลูกใหม่ เพียงแต่ขยันตัดแต่งขายบ่อยๆ ใส่ปุ๋ยให้บ้างไม่มากนัก ยากำจัดเพลี้ยบ้าง อยากทำมากกว่านี้แต่ก็ตัวคนเดียว ก็ไม่มีความจำเป็นมากนัก”
ออกจากอ่างทองวิ่งรถไปตามถนนลาดยางระหว่างอำเภอบางปะหันจังหวัดพระนครศรีอยุธยา กับอำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี พอถึงบ้านตะลุง เลขที่ 46 หมู่ 2 ตำบลตะลุง อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี ของนายวินัย จันทร อยู่ทางขวามือขาไปข้ามสะพานข้ามคลองเล็กๆ นายวินัยเล่าว่า “ที่ดินสวนผสมแปลงนี้ปลูกมะพร้าว กล้วยน้ำว้า กล้วยตานี ดอกแค ชะอม ข่า มะละขี้นก มะละกอ และขุดบ่อปลาดุกขนาดใหญ่เนื้อที่ 2 ไร่ มีหลายบ่อในเนื้อที่ 30 ไร่ แต่ถ้ามีแค่ 4-5 ไร่หากทำจริงจัง รับรองว่าไม่อดตาย มีเงินใช้ทุกวัน”
ในพื้นที่ 4-5 ไร่ที่ว่านี้ นายวินัยยืนยันว่า เขาขุดบ่อปลาดุกขนาด 2 ไร่ ลึก 2.5 เมตร ต้องน้ำลึกหน่อยหมดค่าจ้างขุดไป 60,000 บาท ลงทุนครั้งแรกค่าลูกปลาและอาหารประมาณ 100,000 บาทจับขายได้ประมาณ 300,000 บาท ส่วนคันบ่อปลูกพืชผักดังกล่าว ทำกินเต็มรูปแบบผสมผสานนี้แค่ 2 ปีเศษ แต่มีรายได้เกินกว่าทุนที่ลงไปแล้ว ในครอบครัวทุกคนต้องทำงานหมด เว้นแต่เด็กเล็กๆคือลูกเล็กๆ
ตระเวนไปหลายแห่ง ได้พบว่าบางบ้านก็ปลูกมะกรูดขายใบและผลผสมด้วย มะนาวก็มีประปราย พริก โหระพา กระเพรา ตำลึงก็เก็บตามรั้ว ดอกแคต้น มะรุมที่เก็บทั้งฝักอ่อนและยอดอ่อนขาย ขิง กระชาย ผักชีฝรั่ง และตะไคร้ผสมกล้วยน้ำว้า ต้นตะไคร้ตัดไปขายเป็นกำๆ แล้วก็ใช้ใบที่เหลือป่นเป็นผง ทำเป็นชาตะไคร้ขาย
เรื่องนี้เลขาธิการมูลนิธิฟื้นฟูชนบท นายวันชัย จุลสุคนธิ์ ซึ่งรับซื้อและจัดจำหน่ายสินค้าแปรรูปการเกษตรทุกชนิด ได้ตอบว่า ตะไคร้มีชื่อเรียกว่า Lemon Grass เมื่อนำไปป่นแล้วชงเป็นชาให้น้ำชาสีเหลืองอ่อน มีกลิ่นหอมเหมือนมะนาวและรสเย็น เป็นพืชสมุนไพรไทยที่มีคุณค่ามาก ชื่ออย่างนี้ฝรั่งต่างชาตินิยมมาก ดังนั้น หากพื้นที่ดินใดๆไม่ว่าจังหวัดไหนๆปลูกพืชผลอย่างเป็นระบบจะมีเงินใช้ทั้งปี การดัดแปลงว่าควรจะปลูกอะไรเหมาะสมก็พิจารณาได้ด้วยตนเอง ไม่ยากเลย
เช่นที่ภาคเหนือ ปลูกมะรุม แคบ้าน ริมรั้วที่ดิน ปลูกตำลึง มะไฮ พริก ข่า ตะไคร้ ผักหวานบ้าน ผักหวานป่า สะเดา ฯลฯ ให้มีเกือบทุกชนิด ทุกๆบ้าน ก็จะมีผลผลิตเป็นกอบเป็นกำ เหลือกินก็ขายได้แน่นอน วิธีนี้พัฒนาของกินให้มีพร้อมก็ไม่ต้องไปอาศัยซุปเปอร์มาเก็ตในป่าแต่อย่างใดเลย เว้นแต่บางชนิดที่ปลูกไม่ได้เท่านั้น