Dely189.doc/10เมย42 บทเรียนการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ
ศูนย์การศึกษาวิจัยนานาชาติวนเกษตรแห่งเอซียตะวันออกเฉียงใต้(ICRAF) ได้ทำการศึกษาวิจัยการกระจายอำนาจการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ จนได้บทเรียนที่เผยแพร่สู่สาธารณชนเพื่อปรับสภาพการรับรู้และการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ อันเป็นแนวทางหนึ่งที่ควรได้จากวงการนักอนุรักษ์ทั้งหลายทั้งปวง เพราะว่ามีทั้งหน่วยราชการ องค์กรพัฒนาภาคเอกชนและประชาชนร่วมกันทำงานที่ทันสมัยที่สุด บางทีบทเรียนอาจเตือนสติให้ยั้งคิดบางประการได้
นายคุน เค ไล นางสาวเดเลีย คาตาคูตันและนายออกัสติน อาร์ เมอเคโด้ จูเนียร์ ได้ร่วมกันศึกษาวิจัยการกระจายอำนาจการจัดการทรัพยากรธรรมชาติในลันตาปัน จังหวัดบูกิดนอน เกาะมินดาเนา ประเทศฟิลิปปินส์ ผลของการศึกษาครั้งนี้คาดหวังว่าจะเป็นหลักเกณฑ์ที่สำคัญและอาจจะดัดแปลงไปใช้ในอนาคตก่อให้เกิดผลกระทบในทางบวกต่อไปได้ ซึ่งได้มีการสรุปหลักเกณฑ์สำคัญๆและบทเรียนหลายประการอาทิเช่น
การพัฒนาการจัดการทรัพยากรธรรมชาติให้คุ้มค่า ต้องได้รับการมอบหมายอำนาจการจัดการที่ชัดเจนและมีความคล่องตัวสูง พยายามก่อนโยบายให้เป็นกฎหมายและกระตุ้นการกระจายอำนาจต่อการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ ความมั่นคงต่อการครอบครองพื้นที่ดำเนินการซึ่งไม่ได้รับอย่างพอเพียงนัก ซึ่งน่าที่จะเริ่มต้นจากแต่ละครอบครัว ชุมชนและองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น หรือสนับสนุนงบประมาณในการดำเนินกิจกรรม
น่าที่จะมีสถาบันหรือศูนย์การศึกษาวิจัยเพื่อประสิทธิผลของการกระจายอำนาจการจัดการทรัพยากร มีความเป็นไปได้หรือไม่ต่อการกำหนดบทบาทในระบอบประชาธิปไตยมากขึ้น ขีดความสามารถในการสร้างเสริมด้วยการฝึกอบรมผู้นำ การจัดการ เทคนิคและทิศทางของผู้ให้ทุนสนับสนุน โดยมีการสนับสนุนเรื่องข่าวสารข้อมูล จุดมุ่งหมายของสถาบันและการปฏิรูป วิเคราะห์ผลการเรียกร้องสิทธิและการขจัดความขัดแย้งและปัจจัยอื่นๆที่จำเป็นต่อการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ จึงน่าจะต้องมีการจัดลำดับความสำคัญและหาจุดเริ่มต้น และทรัพยากรที่มีความสำคัญต่อโครงการ
สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่จุดจบที่ลงตัวของการกระจายอำนาจการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ หากแต่หนทางยังยาวไกลแสนไกล มันเป็นเพียงการเริ่มต้นที่อาจประสบผลสำเร็จหรืออาจต้องใช้ช่วงเวลาอีกสักระยะหนึ่งจึงจะเหมาะสม อย่างไรก็ดี บทเรียนเหล่านี้เตือนให้มีความรอบคอบ ระมัดระวังในการคิด ทำและมุ่งหวังต่อกระบวนการกระจายอำนาจดังกล่าวมากขึ้น
เป็นความพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงแนวคิดการจัดการและพัฒนารูปแบบการบริหารทรัพยากรธรรมชาติ จากการที่มีแต่เพียงหน่วยงานรัฐมาเป็นให้ประชาชน เอกชน องค์กรพัฒนาภาคเอกชน องค์กรบริหารท้องถิ่น ได้เข้ามามีบทบาทร่วมในการบริหารจัดการเหล่านี้มากขึ้น ซึ่งเป็นสิทธิและหน้าที่สำคัญในระบอบประชาธิปไตยในยุคสากลปัจจุบัน
กรณีป่าต้นน้ำแม่สรอย อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ คุณหญิงหม่อมราชวงศ์ สมานสนิท สวัสดิวัฒน์ รองประธานกรรมการมูลนิธิธรรมนาถ ได้เสียสละทุนทรัพย์ส่วนตัวจำนวนมหาศาลมากกว่า 20 ล้านบาทเพียงเพื่อเฝ้ารักษา ทะนุถนอม ปกป้อง สร้างเสริม พัฒนาและแม้แต่สร้างความเข้าใจให้เกิดขึ้นว่า ป่าต้นน้ำลำธารนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง ที่จะต้องได้รับการคุ้มครองเพราะว่าล่อแหลมเหลือเกินกับการถูกทำลายระบบนิเวศ
อันส่งผลกระทบรุนแรงต่อลุ่มน้ำ ประชาชนชาวแม่สอยจอมทองขาดแคลนน้ำใช้เพื่อการบริโภคที่มีคุณภาพ เพื่อการเกษตรกรรมและมีสารพิษปนเปื้อนจากการทำกินของชาวไทยภูเขาบนป่าต้นน้ำ มูลนิธิจึงได้เสนอให้เกิดความร่วมมือในสิทธิการแสดงความเป็นเจ้าของอย่างถูกต้องของคนบนต้นน้ำ คนกลางน้ำและคนท้ายลุ่มน้ำ ล้วนแต่มีส่วนได้เสียและมีสิทธิในการดำเนินการที่เรียกว่า Stakeholders แม้กระทั่งคนอยุธยาอ่างทองหรือกรุงเทพ ล้วนมีสิทธิในลุ่มน้ำแม่สอยด้วย
มูลนิธิธรรมนารถได้ประสานกับประชาชนชาวจอมทองและอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ อันเป็นหน่วยราชการที่คุ้มครองตามกฎหมายสำคัญเรื่องป่าอนุรักษ์ ความสำเร็จของการประสานประโยชน์เพื่อส่วนรวมได้ก่อให้เกิดพลัง และสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆให้ปรากฏขึ้น นั่นคือการกระตุ้นให้คณะรัฐมนตรีตรามติวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ.2541 เพื่อแก้ไขปัญหาการบุกรุกทำลายป่าและยึดถือครอบครองด้วยกระบวนการทางกฎหมายและเป็นวิทยาศาสตร์
แต่ก็เป็นเรื่องน่าเศร้าที่มูลนิธิธรรมนารถได้พยายามจะพัฒนาการจัดการทรัพยากรธรรมชาติตามหลักวิชาการการจัดการลุ่มน้ำ ก็กระทำได้ยากเพราะว่าการมอบอำนาจหน้าที่ตรงนี้ไม่มีความชัดเจน ทั้งๆที่มีเจตนารมณ์แค่การเข้าปกป้องมิได้อ้างสิทธิ์ในการเข้าไปอยู่อาศัยแต่อย่างใด เนื่องมาจากที่ดินป่าต้นน้ำแม่สอยอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ ถึงกระนั้นมูลนิธิก็รักษาดุลยภาพของการปฎิบัติให้อยู่ในกรอบของกฎหมายได้อย่างน่าชื่นชมครับ