http://www.thongthailand.com
  สร้างเว็บไซต์Engine by iGetWeb.com 
 หน้าแรก  เว็บบอร์ด  บทความ  รวมรูปภาพ  ติดต่อเรา  ข่าวสาร
ค้นหา  ประเภทการค้นหา   Cart รายการสั่งซื้อ (0) 
สถิติ
เปิดเว็บไซต์ 15/03/2009
ปรับปรุง 08/05/2024
สถิติผู้เข้าชม14,062,558
Page Views16,373,790
« May 2024»
SMTWTFS
   1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
ท่องเที่ยวทั่วไทยไปทั่วโลก
ศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี วิถีชีวิต และความเชื่อ
รีวิว ร้านอาหาร โรงแรม รีสอร์ทและสปา
  foo&bed
ธรรมชาติ,สัตว์ป่าและพันธุ์พืช...มีคุณ(nature)
บทบรรณาธิการ สกู๊ฟพิเศษ และเรื่องเล่า
ข่าวสาร
http://www.thongthailand.com/index.php?mo=3&art=42365202
 

สร้างตึกก็ได้ตึก แต่ทรัพยากรบุคคลต้องสูญเสีย

สร้างตึกก็ได้ตึก  แต่ทรัพยากรบุคคลต้องสูญเสีย


สร้างตึกก็ได้ตึก แต่ทรัพยากรบุคคลต้องสูญเสีย

          เมื่อผมสอบเข้าไปเรียนคณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ได้ ผมดีใจมาก รีบนั่งรถเมล์สีส้มกลับไปบ้านที่อ่างทอง หวังว่าเมื่อบอกพ่อกับแม่แล้วท่านก็คงจะดีใจ พอผมบอกแม่กับพี่สาวคนโต ได้รับคำตอบสั้นๆพร้อมรอยยิ้มว่า เออดี แต่พอผมบอกเตี่ยว่า
                "เตี่ย ผมสอบเข้าคณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ได้" ผมยิ้มรับเลย ยังไงเตี่ยก็ต้องชม
                "อะไรวะ  เรียนอะไร" เตี่ยไม่รู้ว่าเรียนคณะอะไร ผมต้องต่อความยาวอีกนิด
                "ก็คณะป่าไม้ไงครับเตี่ย" ผมยิ้มกว้าง ตาเบิ่งโต อาการคนดีใจและคงได้รับคำชม
                "ฮะ  มึงก็ต้องไปโกงเขากินซิ" เตี่ยใส่เต็มเสียง ผมหน้าแหย รอยยิ้มหายวับไปกับตา
                "ทำไมมึงไม่เรียนเกษตรหมูเกษตรผักวะ แค่รับจ้างตอนหมูวันละ 100 ตัวก็รวยแล้ว" เตี่ยยังด่าต่อ หน้าผมเหลือสองนิ้ว ไม่เข้าใจ ทำไมเรียนป่าไม้ต้องไปโกงเขากิน 
                ผมได้เงินไปเรียนตามที่สอบได้ ไม่ได้คิดอะไรมาก และก็ยังไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเตี่ยผมถึงพูดอย่างนั้น เตี่ยผมเรียนหนังสือมาจากประเทศจีน อายุ 16 ปีถึงได้ออกจากโรงเรียนแล้วกลับมาบ้านที่อ่างทอง ช็อทหนึ่ง ผมตะลึงลาน  พอผมเริ่มไปเรียนและเข้าปฐมนิเทศที่คณะวนศาสตร์ คณบดีชื่อศาสตราจารย์เทียม คมกฤช ปฐมนิเทศว่า

                                             

                "ต่อไป เมื่อพวกเธอเรียนจบแล้ว ออกไปทำงานในป่า ไม่มีใครรู้หรอกว่าเธอทำอะไรบ้าง แต่ตัวเธอเองเท่านั้นที่รู้ดีว่าเธอทำอะไร"
                ผมฟังแล้วก็จับใจไม่เคยลืม ช็อทสองซีนะ ใช่จริงๆ ด้วยครับ ไปอยู่ในป่าทำอะไรใครจะไปเห็น แต่ตัวเราเห็นและรู้อยู่แก่ใจ แน่แท้จริงเชียว
                ผมเรียนจบปริญญาตรี รับปริญญาจากพระหัตย์ในหลวงเลย เตี่ยกับแม่และญาติพี่น้องมาร่วมแสดงความยินดีตามธรรมเนียม ได้ปริญญามาแล้ว กระหยิ่มเลย แต่ปรากฎว่า ตกงาน กรมป่าไม้ไม่มีตำแหน่งและเงินให้สอบบรรจุเป็นข้าราชการ พวกผมพยายามไปต่อรองจนได้เงินจ้าง คนงานชั่วคราวรายเดือน จ๋อยเลยครับ พวกผมนี่แหละที่ตกงานเป็นรุ่นแรก ปีพ.ศ.2514  เป็นลูกจ้างตำแหน่งคนงานอยู่ 2 ปีกว่าๆ จึงสอบบรรจุได้เป็นนักวิชาการป่าไม้ตรี ปีพ.ศ.2516 โก้ซะไม่มี แต่โดนเล่ห์กลกรมป่าไม้อีก ทำงานไปครบปี ไม่ได้ขึ้นขั้นเงินเดือน ขาดไป 1 วันจึงจะครบ 9 เดือน ดู ๆ มันทำกับพวกผมซีครับ ฟรีไปอีกปี 
                 เมื่อผมสอบบรรจุแล้วต้องออกไปทำงานที่จังหวัดลำปาง สวนสักห้วยทาก สวนป่าไม้สักที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย วันที่ผมจะออกเดินทางไปขึ้นรถไฟที่หัวลำโพง แม่กับพี่สาวจะไปส่งที่สถานีรถไฟ ผมเข้าไปไหว้ลาเตี่ยตามมารยาทที่ดีงาม ได้เรื่องครับ

                             
               
                "เดี๋ยว มึงอย่าเพิ่งไป กูมีเรื่องจะคุยกับมึง" เตี่ยพูดเสร็จก็ลุกจากท่านอนปกติของเขา นั่งบนเตียงนอนเล่นของเขา ผมนั่งลงพิงเสากลางบ้าน(กรุงเทพ)รอฟังปิยะวาจา
                "มึงอย่าไปโกงเขานะ" เตี่ยผมเอ่ยเอื้อนมาด้วยปิยะวาจาจริงๆ ผมนั่งอ้าปากหวอ หลังพิงผึ่งแนบเสา
                "เตี่ย ผมไปเป็นนักวิชาการป่าไม้ ปลูกป่าไม้สัก  ไม่ได้ไปคุมโรงเลื่อยนะครับ"
                "มึงก็ต้องไปโกงค่าแรงคนงาน มึงอย่าไปโกงเขานะ มึงเห็นจับกังที่โรงสีบ้านเราได้ไหม เขาเหนื่อยทั้งวัน แทบตาย ได้เงินวันละแค่ 10 บาท" เตี่ยนิ่ง จ้องตาผมเขม็ง ผมงง
                "กูจะบอกมึงให้รู้ไว้ ความสุขไม่ได้อยู่ที่เงิน แต่มันอยู่ที่ใจ" เตี่ยชี้ใส่หน้าอกตัวเอง
                "ถ้ากูยึดนาที่ตกเขียวหรือเงินกู้ กูมีนาให้มึงเป็นพันๆไร่ แต่กูไม่เคยทำ" ผมนั่งฟังนิ่งๆ แต่สีหน้าแววตาคงน่าอนาถใจ เตี่ยตบท้ายอีกประโยค สะใจเลย
                "แต่มึงโกงหลวงได้ ที่เขาเรียกว่า ฉ้อราษฎร์บังหลวง ไม่เป็นหนี้เมื่อไรแล้วต้องรู้จักพอ"
                 เตี่ยพูดจบก็นอนลงตามวิสัยของเขา โบกมือให้ผมไปได้ ผมเดินออกมาหาแม่ด้วยใบหน้าเช่นไรไม่รู้เลย นึกในใจนี่โดนช็อทสามละมั้ง เสียงแม่ถามว่า
                "เตี่ยมึงว่ายังไงวะ"
                "ไม่ให้ผมโกงเขากิน แม่จริงหรือเปล่าครับ เตี่ยเขาโม้ว่า ถ้าเขายึดที่นาพวกตกเขียวเขาจะมีนาให้ผมเป็นพันๆไร่"   
                 "จริง ถ้าไม่มีเตี่ยมึง กูรวยอีกจม" ผมลาแม่และพี่สาวไปพบกับเพื่อนบนรถไฟ ผมพบเพื่อนก็ได้เรื่องอีก "เหล้าดีเพื่อนรู้ใจ" 
                 ผมทำงานไปตามหน้าที่ ปลูกป่าไม้สักดอยแล้วดอยเล่า จากจังหวัดหนึ่งไปอีกจังหวัดหนึ่ง เปลี่ยนงานไปอยู่ฝ่ายจัดการป่าไม้ก็เคยทำ ไปอยู่ด่านป่าไม้ก็เคยอยู่ ผ่านงานหลากหลายด้านจนได้พบกับผู้บังคับบัญชาคนหนึ่ง ท่านพูดช้าๆ จริงจัง และสั้น ท่านเตือนผมว่า
                 "อย่าทำงานแบบคนมีเส้นนะ" ช็อท สี่  อีกคนหนึ่งว่า   "อย่าโลภโมโทสันกันนักเลย คนงานน่ะให้เขาป่วยบ้างเถอะ"  ช็อท ห้า แต่มาเจออีกช็อทหกคนนี้แสบเลยท่านว่า "จำไว้นะ ต้นไม้ทุกต้นมันอยากมีชีวิต ต้องดายวัชพืชให้เขาด้วย"  หลังจากรับมอบงานหน่วยงานหนึ่งแค่สองเดือน ผมพบกับอีกคนหนึ่ง คนนี้แสบทรวงเลย ท่านว่า "รับมอบงานอย่างนี้ ผูกคอตายเสียดีกว่า" ก็สวนป่า 4,700 ไร่ มีสวนป่าให้เห็นอยู่ราวๆ 200 ไร่แค่นั้นก็เซ็นต์รับมาได้  นอกนั้นอัตราการรอดตายต่ำมากๆ  ช็อทแปดแทบหงายเก๋ง
                 ชีวิตราชการของผมพบแต่คนดีๆ ที่ตักเตือน ให้ข้อคิด และเฝ้ามองดูอยู่ตลอดมา ผมกลายเป็นคนบ้างาน งานในหน้าที่ต้องมาก่อน ชีวิตเพื่อนร่วมงานมารอง(เพื่อนร่วมงานและคนงาน) และตลอดชีวิตราชการ 36 ปี ผมไม่เคยหิ้วกระเช้าไปอวยพรวันเกิด ปีใหม่ หรือแสดงความยินดีเจ้านายสักคน เขาซื้อขายตำแหน่งก็ไม่ซื้อ ผมไม่เสียใจเลยที่เกษียนแค่ระดับ 8 เงินเดือนเต็มขั้น แต่ไม่เคยถูกร้องเรียน ไม่เคยถูกตั้งกรรมการสอบสวนแต่อย่างใด ได้โล่มาใบ ข้าราชการพลเรือนดีเด่น เลยไม่เจริญ เพราะว่าไม่ได้ไปก้มกราบตีนใคร เพื่อร้องไห้ให้ช่วยเหลือ นี่เป็นกรรมอย่างหนึ่ง 


                                               

                ชีวิตหลังเกษียน ผมยังเป็นนักเขียนอิสระตามหนังสือพิมพ์หลายฉบับ ผมเขียนหนังสือขายเป็นเล่มๆ ผมเคยตั้งร้านขายหนังสือ เปิดมินิมาร์ท คาราโอเกะ ซื้อขายที่ดิน และจัดสรรที่ดิน ทำหนังสือท่องเที่ยวจนเจ๊งไปเรียบร้อยหมดเงินที่ควรเป็นของลูกไปหลายล้านบาท แต่ทุกวันนี้ผมก็ยังมีทั้งที่ดินและทรัพย์สินจากสมองสองมือให้ลูกๆโดยไม่ต้องโกงกินอย่างที่เตี่ยสั่งไว้ ผมกลายเป็น NGO อีกคนหนึ่ง อย่างแสบ  ผมสร้างหมู่บ้าน โรงเรียน วัด แหล่งน้ำ และสร้างคนในที่สุด ผมเป็นเลขานุการมูลนิธิเพื่อการศึกษาของเยาวชนแบบต่อเนื่อง(อนุบาล-ปริญญาตรี)  และมูลนิธิเพื่อผู้สูงอายุ ต้นแบบบำนาญประชาชน 
                 ผมอยากจะบอกเตี่ยว่า ผมไม่ได้โกงคนงานแต่ผมสร้างให้เขาอยู่สุขสบายทุกอย่าง แล้วก็ยังหาทุนส่งเด็กนักเรียนลูกๆคนงาน ส่วนคนงานที่แท้คือชาวบ้านผมก็ตั้งมูลนิธิบำนาญประชาชน ทุกคนมีเงินเดือนหลังเกษียนแล้ว(60 ปี) แต่เตี่ยก็ตายไปเสียก่อน  
                 วันหนึ่ง ผมได้รับโทรศัพท์จากอดีตเจ้าของวลี "รับมอบงานอย่างนี้ ผูกคอตายเสียดีกว่า" สั่งให้ผมไปร่วมประชุมกับสมาคมศิษย์เก่าวนศาสตร์ ที่กระท่อมวนกร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เพื่อจะปรึกษาหารือเรื่องที่จะเชิญสื่อมวลชนมาร่วมการอภิปรายในประเด็น ที่นักการเมืองก้าวก่าย แทรกแซง และครอบงำ ข้าราชการกรมอุทยานฯและกรมป่าไม้ จนกระดิกตัวไม่ได้ ย้ายกันเป็นรายวัน ซื้อขายตำแหน่งกันจนทนกันไม่ไหว
                   ผมไปร่วมประชุมด้วยทั้งๆ ที่ไม่ได้เป็นกรรมการใดๆกับเขาเลย เพราะว่านายเก่าสั่งและเพราะว่า รู้จักสื่อมวลชนมาก น่าจะช่วยเหลือแนะนำได้ ผมเดินเข้าห้องประชุมเห็นอาหารเพียบเลย ตั้งอวดกลิ่นอยู่หน้าห้อง
                   เริ่มประชุม 17.00 น. ผมนั่งฟังการประชุมที่เริ่มต้นตามแบบอย่างข้าราชการโดยแท้ การเล่าความตามรายงานการประชุมทีละหน้าๆ เวลาล่วงเลยไปจนถึง 18.40 นาที ผมเป็นเบาหวานเกิดอาการขาสั่น มือสั่น หิวจัดครับ ขอกาแฟแก้วน้ำเปล่าอีกแก้ว แต่ก็ยังไม่ดีขึ้น 
                   ดร.คณบดีคณะวนศาสตร์ รายงานว่า นายบัณ ....................ศิษย์เก่า วนศาสตร์รุ่นที่... ปัจจุบันท่านดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ จะเกษียนราชการ กันยายนที่จะถึงนี้ ได้กรุณาให้งบประมาณแผ่นดินมา 160 ล้านบาท เพื่อสร้างตึกเพิ่มเติม แต่มีข้อแม้ว่า คณะต้องหาเงินสมทบอีก 40 ล้านบาท แล้วดร.ท่านนั้นก็บรรยายวิธีการหาเงินสมทบ 
                   นายกสมาคมศิษย์เก่าวนศาสตร์ โพล่งขึ้นมาว่า ประทับใจมากที่ไปเจอศิษย์เก่าคนหนึ่ง บริจาค 1,000 บาทเพื่อสมทบทุนให้กับสมาคม เนื่องจากเป็นวันเกิดเขา ท่านเลยเสนอให้ทุกวันเกิดของศิษย์เก่า ขอให้ช่วยกันบริจาคคนละ 1,000 บาท 
                   รุ่นพี่ใจถึงคนหนึ่งนั่งใกล้ผม เขียนลงในบัญชีรับบริจาคทันที 5,000 บาท ผมนั่งหน้าตาเป็นอย่างไรไม่รู้ตัวเลย  แต่ดร.อดีตคณบดีวนศาสตร์คนหนึ่งที่นั่งฝั่งตรงข้ามกับผมกล่าวขึ้นว่า
                  "จะบริจาคเท่าไรก็ดูหน้าคนนั่งข้างๆบ้างล่ะ" ดูท่าท่านจะเห็นใจคนจนๆ ที่อาจจะกระทบกระเทือนกับเรื่องนี้ได้ หรือไม่งั้นท่านก็คงเห็นผมโทรมๆ
                  ผมก็เลยนั่งเฉยๆ แต่ก็กระซิบกับพี่ใจถึงคนนั้นเพราะว่าเคยทำงานที่อุบลราชธานีมาด้วยกัน ว่า
                 "เสียดายเงิน 5,000 บาทของพี่จัง  สร้างตึกก็ได้ตึก ผมเป็นรุ่นแรกที่จบแล้วตกงาน 2 ปีกว่า จนถึงวันนี้ ศิษย์เก่าที่จบจาก คณะวนศาสตร์ตกงานกันสิบกว่ารุ่น เป็นลูกจ้างกรมป่าไม้มาสิบกว่าปีแล้ว น่าจะเอาเงินก้อนนี้ไปกำหนดตำแหน่งให้กับกรมป่าไม้แล้วเปิดสอบบรรจุน้องๆ จะได้มีอนาคตและมีคนทำงานมากขึ้น "   
                  พี่เขาก็เลยให้ผมนิ่งๆเสีย อย่าเสนอความคิดเห็นอะไรเลย เดี๋ยววงจะแตก ผมนั่งจนถึง 20.00 น.มือสั่นตาลายและหงุดหงิด ตัดใจไม่รอวาระที่จะใช้ผมเรื่องสื่อ เลยตัดใจลุกหนีเสียเลยดีกว่า อึดอัดจริงๆ ผมออกไปฉี่พร้อมเก็บเอกสารติดมือเพื่อกลับบ้าน แหม พอเดินผ่านโต๊ะอาหาร กลิ่นหอมชื่นใจน่ากินจริงๆ แต่ก็ต้องตัดใจเลยแหย่แม่บ้านซึ่งรู้จักกันดีว่า "ไม่กินแล้ว ไปละ" เล่นเอาแม่บ้านร้อง "อ้าว" ผมเดินออกไปหารถแท็กซี่ พอนั่งได้ที่ก็โทรศัพท์ไปกราบเรียนท่านที่สั่งให้ผมมา ว่า
                  "ผมกราบขออภัยด้วยนะครับที่กลับก่อน สมาคมมีเรื่องเยอะและยืดยาวเกินที่คนเป็นเบาหวานจะทนไหว อีกอย่างหนึ่ง ผมเกือบจะทำวงแตกอีกแล้วถ้าผมลุกขึ้นแสดงความคิดเห็น เรื่องสร้างตึกก็ได้ตึก แต่ทรัพยากรบุคคลที่เรียนสำเร็จพร้อมทำงานกลับไม่มีงานทำ ตกงานกันมาสิบกว่ารุ่น สิบกว่าปีแล้ว น่าจะอาเงิน 160 ล้านบาทไปกำหนดตำแหน่งให้เด็กๆได้บรรจุเป็นข้าราชการกันซะยังจะดีกว่า อย่างนี้มันสูญเสียทรัพยากรบุคคลครับ"  ท่านตอบกลับมาว่า
                  "ผมก็ติดงานศพก็เลยไม่ได้ไปร่วมประชุมด้วย เห็นว่า ผอ.สำนักงบประมาณรุ่นเดียวกับคุณไม่ใช่เหรอ"  

                 

                  "ใช่ครับ เคยเรียนร่วมกันมา 4 ปี แต่ผมกับเขามันต่างกันมาก เดินกันคนละเส้นครับ"
                  "ที่คณะ บรรดาอาจารย์เขาภาคภูมิใจมากนะ ที่ศิษย์เก่าได้เป็นถึง ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ ซี 11 เท่ากับปลัดกระทรวงน่ะแหละ  ยิ่งเป็น ผอ.ที่คุมเงินงบประมาณทั้งประเทศ ยิ่งใหญ่มากเลยนะ คุณน่าจะภาคภูมิใจ ไม่ใช่หรือ" ท่านที่ผมเคารพยังเสวนาต่อ
                  "ก็น่านะครับ แต่ว่า เมื่อหลายปีก่อน ผมยังเป็นซี 7 อยู่ ลูกสาวผมทำงานที่ สตง. ผมไปเยี่ยมลูกสาวและเพื่อนๆอีก 2 คนอยู่ที่ สตง. แล้วผมก็เลยเดินขึ้นตึกสำนักงบประมาณไปเยี่ยมเขา ตอนนั้นเขาเป็น ผู้ช่วยผู้อำนวยการอยู่ครับ ทันทีที่ผมโผล่หน้าไปนั่งตรงข้ามเขา ๆ พูดขึ้นมาลอยๆว่า"
                   "มึงนี่แย่จัง มามือเปล่า สู้ไอ้....กับไอ้......ก็ไม่ได้ มันมาหากูทีไรยกแบล็กมาเป็นลัง" ก็ไม่รู้ว่าท่านหยอกผมหรืออย่างไร แต่เลือดขึ้นหน้าผมจนตอบกลับไปว่า
                   "กูมาหามึงนี่เคยมาขอเงินมึงหรือเปล่า แต่พวกมันมาขอเงินมึงไปกี่ร้อยกี่พันล้านบาท มึงรู้ไหมมันได้กันคนละเท่าไร แค่มันยกเหล้าแบล็กมาให้มึงลังเดียวนี่นะ ค่าตัวมึงถูกฉิบหาย มึงมันพวกพายเรือให้โจรนั่งแท้ๆ  ตั้งแต่นั้นมาผมไม่เคยไปเหยียบที่ทำงานของท่านอีกเลย ท่านก้าวหน้ามากขึ้นๆ จนในที่สุดท่านก็ได้ไปถึงปลายทางที่ทุกคนเฝ้าใฝ่ถึง แต่ผมก็ถอยหลังลงเรื่อยๆ จนเกษียนแค่ระดับซี 8 ไม่มีตำแหน่งใดๆเลยครับ"
                   "อ้อ..ๆ..ๆ" ท่านคงอึ้งจนพูดไม่ออก
                   "ผมไม่กล้าภาคภูมิใจเขาหรอกครับ ผมก็แค่เป็นผมคนนี้แหละ  ผมกราบขออภัยนะครับที่ไม่อดทนทำงานตามที่ท่านสั่ง"       
                   ใช่ครับ ผมควรจะยืดน่าดูที่มีเพื่อนร่วมรุ่นเป็นถึงซี 11 ยิ่งใหญ่ขนาดคุมเงินทั้งแผ่นดิน ข้าราชการทุกฝ่ายต้องเอาอกเอาใจท่านกันไม่เว้นแต่ละวินาที  เพียงท่านเหลือบตาไปทางไหนก็แทบว่าจะมีคนวิ่งไปดักรอรับใช้ท่านกันตรงนั้นทันที  
                   แต่สำหรับผม ผมมีความสุขตามที่เตี่ยผมสั่งแล้ว ความสุขอยู่ที่ใจ  ผมเป็นตัวของผมเอง ผมอยู่ของผมได้ และผมรู้ว่าผมกำลังทำอะไรอยู่เหมือนที่อาจารย์ปฐมนิเทศไว้  ผมไม่กล้าแม้จะรู้สึกว่า ท่านเป็นเพื่อนร่วมรุ่นผมด้วยซ้ำ เพราะว่าผมก็ไม่แน่ใจว่าท่านคิดว่าผมเป็นเพื่อนร่วมรุ่นหรือเปล่า  ผมยอมเป็นคนโหล่ยโท่ยที่ไม่มีอะไรเสียเลยยังดีกว่าไปเกาะแข้งเกาะขาใครเขา 
                    ดังนั้น ผมจึงไม่เห็นด้วยเลยที่คณะวนศาสตร์กำลังจะสร้างตึกเพิ่มขึ้นอีก สร้างตึกก็ได้ตึก แต่ถ้าจะคิดดี..ทำดี สักครั้งหนึ่งในชีวิตละก้อ ขอให้ช่วยเอาเงินงบประมาณของแผ่นดิน 160 ล้านบาท ไปกำหนดตำแหน่งนักวิชาการป่าไม้รองรับน้องๆ จากคณะวนศาสตร์ที่ตกงานกันมายาวนานกว่าสิบปี นั่นแหละถึงจะเห็นว่าท่านก็ทำดีเป็นเหมือนกัน !!! มีคนทำงานปกป้องป่าไม้ของชาติมากขึ้น แล้วก้อ  อย่าให้ใครเขามานินทานะว่า 160 ล้านบาท  มันรีเทิร์น(Return)เท่าไร
                     ไอ้น้องพวกที่ตกงานเนี่ยมันทรัพยากรบุคคลที่สูญเสียหรือเปล่า ?  



Tags : Man made forest

 
 หน้าแรก  บทความ  ข่าวสาร  รวมรูปภาพ  ติดต่อเรา  เว็บบอร์ด

อัตราค่าโฆษณา    

แบบเนอร์ กลางหน้า.  ขนาด 800 x 400-600 พิกเซล เห็นหน้าแรก  5,000 บาท/เดือน

แบนเนอร์ เหนือโลโก้เว็บไซต์ ขนาด 1000 x 80 พิกเซล เห็นทุกหน้า 4,000 บาท/เดือน

 แบนเนอร์ ซ้าย  ขนาด 240 x 120-160 พิกเซล เห็นทุกหน้า 3,000 บาท/เดือน

ทำข่าวแถลง รีวิวโรงแรมและร้านอาหาร  เขียนสารคดี เชิญได้โดยตรงที่ โทร.081-9416364

ติดต่อ 135 ม.12 ต.กำแพงแสน อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม 73140

 
view