ปักกิ่งหรรษา ตอน 16 ปัญหาของอาซ้อ
ในคณะทัวร์ของเรา มีทั้งที่มากันเป็นครอบครัวและคู่หนุ่มสาว แต่มีอยู่คู่หนึ่งเป็นหนุ่มใหญ่มากซึ่งมากับอาซ้อรุ่นๆ เดียวกัน ไม่มีลูกๆ มาด้วย ตลอดการเดินทางสามีภรรยาคู่นี้ค่อนข้างมีน้ำใจไมตรี ทักทายเพื่อนร่วมคณะทุกกลุ่ม แล้วก็ดูมีความสุขสนุกสนานกับการได้มาท่องเที่ยวมาก
เช้าวันหนึ่งระหว่างนั่งรับประทานอาหารเช้าร่วมกัน ผมถามเพื่อสร้างบรรยากาศเช่นเคย
“อาซ้อครับ มาเที่ยวเมืองจีนบ่อยไหมครับ”
“มาหลายครั้งแล้ว แต่ไปที่อื่นๆ นะ มีครั้งนี้แหละที่มาไกลหน่อย”
อาซ้อตอบยาวด้วยรอยยิ้ม อาเฮียยิ่งยิ้มเฉยๆ ไม่ค่อยพูดจากนักแต่ก็ไม่แสดงทีท่าขัดข้องที่จะเสวนา
“ลูกสาวเคยมาเรียนภาษาจีนกลางที่ปักกิ่งสองปี เขาอยากให้มาเที่ยวก็เลยซื้อตั๋วให้ค่ะ”
“สองปีนี่ได้ภาษาดีไหมคะ” แม่บ้านผมสนใจถามบ้าง ทุกคนในวงอันมีคุณเชษฐ์และครอบครัว ผมและครอบครัว คุณพิศิษฐ์และคุณม่อมไปนั่งโต๊ะอื่น
“ได้ค่ะ พูดจีนกลางได้แจ๋วเลย” แสดงว่าลูกสาวอาซ้อเก่ง มีแววด้านภาษา หรือไม่ก็มีความสนใจมาก เอ๊ะ หรือเพราะว่าครูถ่ายทอดได้เก่ง ลูกสาวลูกชายผมนิ่งฟังเงียบๆ ตามเคย
“ปีหน้าลูกสาวบอกจะซื้อตั๋วให้ไปไกลถึงชายแดนรัสเซียนะ เห็นว่ามีหิมะตกสวยมาก” อาซ้อเล่าต่อด้วยความสุข และภูมิใจ
ว่ากันตามจริงแล้ว อาเฮียและอาซ้อคู่นี้สมกันดี หน้าตาท่าทางสุภาพเรียบร้อยแฝงอารมณ์ดี ไม่อ้วนไม่ผอมนัก กำลังดีว่างั้นเถอะ ดูสมฐานะคนมีเงิน ลักษณะน่าจังค้าขายเก่งจึงมีเงินส่งลูกเรียนสูงๆ ได้ และออกเที่ยวบ่อยๆ ซึ่งไปท่องเที่ยวได้ในขณะที่มีกำลังนั้นเป็นความชาญฉลาดทีเดียวเชียวแหละ ขืนมีเงินแต่ไม่ไปเที่ยวแล้วเป็นอัมพาตเสียละก้อ เงินแทบไม่มีความหมาย หนุ่มๆ สาวๆ จึงควรทำงานสะสมเงินทองเก็บไว้ให้ได้มากๆ ตามกำลัง เผื่อแก่ตัวจะได้เหลือเที่ยวได้สบายๆ
“อาเฮียครับ อยู่กรุงเทพค้าขายอะไรหรือครับ” ผมถามแบบเกรงใจเต็มที อาเฮียยิ้ม อาซ้อตอบแทบว่า
“ทำเครื่องเรือนทั่วไป รับตกแต่งภายในด้วยค่ะ”
“ภาวะเศรษฐกิจทรุด มีผลกระทบไหมครับ” ผมถามต่อเพราะอยากรู้
“มีนิดหน่อย ลดการผลิตลง ลดระยะเครดิต และเก็บเข้าให้มากขึ้น รวมทั้งไม่พยายามก่อหนี้เพิ่มขึ้นมาอีก”
อาเฮียตอบชัดถ้อยชัดคำแบบคนรอบรู้ มันเป็นคำตอบที่สอนการค้าและการแก้ไขวิกฤตได้ดี มิน่าอาเฮียและอาซ้อถึงมีเงินท่องเที่ยวได้แต่ยังไม่แก่ ผมฟังแล้วก็ได้แต่หวังว่าลูกๆ จะได้ยินและเก็บเป็นประสบการณ์ที่ดีอีกมิติหนึ่ง ซึ่งอาจวิเคราะห์ได้เอง และกำหนดแนวทางชีวิตตนเองสืบไป โธ่ ก็การมีลูกออกมามิใช่แค่การออกมาแล้วให้มีชีวิตที่ไหน หากแต่ต้องให้ความเจริญเติบโตทางร่างกาย จิตใจ และมีความรู้ในการที่จะเอาชีวิตของเขาและครอบครัวรอดด้วย ถ้าหวังจะรอพึ่งพ่อแม่ ยังไงเสียพ่อแม่ก็แก่ตายก่อนแหงๆ
ได้เวลาต้องเคลื่อนขบวนทัวร์ ทุกคนพร้อมกันที่รถหน้าโรงแรม วันนี้อากาศเย็นชื่นใจ ไม่หนาวเหน็บและ ทุกคนดูมีความสุขสดชื่น แม้กระทั่งอาอี๊ที่ใส่แดงเพลิง ผ้าไหมซีครับ
“ลูกทัวร์ที่รักครับ เชิญขึ้นรถได้ วันนี้ผมจะพาท่านไปท่องเที่ยวอันเดอร์วอเตอร์เวิรลด์ และ………” คุณโจวประกาศเสร็จ ลูกทัวร์ขึ้นรถด้วยความมีระเบียบ ใครขึ้นก่อนได้ก็ขึ้น อาอี๊เป็นเจ้าสุดท้ายตามเคย
“ลูกทัวร์ทุกท่านครับ ด้านซ้ายมือของท่านมีสวนหย่อมอยู่หน่อยหนึ่ง แต่เห็นไหมครับ มวยจีนศิษย์วัดเส้าหลินกำลังร่ายรำอยู่” ทุกคนหันไปมอง ก็เห็นบุรุษและสตรีชราจำนวนหนึ่งกำลัง ร่ายรำมวยจีนอยู่
“ประมาณอายุนักมวยคงราวๆ 75 ปีขึ้น 20 คนก็ตก 1500 ปีพอดี” สิ้นเสียงคุณโจวก็มีเสียงหัวเราะดังครืน
“ทั้งเมืองจีน 1,300 ล้านคน เป็นคนสูงอายุ 10 % ก็ตก 130 ล้านคน มากกว่าคนไทยทั้งประเทศถึงสองเท่า” คุณโจวหยุดนิ่งมองหน้าลูกทัวร์ ลูกทัวร์ก็มองหน้าคุณโจวนิ่งด้วยความคิดต่างๆ นานา
“ถ้าเล่าซือสั่งให้ศิษย์เส้าหลินกลุ่มนี้กลุ่มเดียวบุกเมืองไทย รับรองแตกเป็นผง” เสียงหัวเราะด้วยความขบขันลั่นรถ บางคนพยักหน้าเห็นด้วย บางคนขำกลิ้งคุณโจว
“คุณโจว คนไทยเก่งมวยไทยนะครับ ไม่ว่าจะแก่แค่ไหนก็เก่งเพลงเตะ โดยเฉพาะผู้หญิงนี่ถูกสอนกันมาเลยนะครับว่า ถ้าถูกผัวเตะ เอ๊ย ถ้าถูกผู้ชายรังแก ให้ตั้งสติ แล้วเตะผ่าหมาก” มีเสียงพูดแสดเงความเห็นด้วย คุณโจวงง
“อะไรเตะผ่าหมาก” คุณโจวมองซ้ายมองขวาหาคำตอบ
“เตะผ่าหมากก็คือ การเตะเข้าหว่างขาผ่าพวงสวรรค์ไงล่ะคร้าบ” เสียงหัวเราะยิ่งดังใหญ่
“เรื่องนี้จริงนะครับคุณโจว ผมโดนมาแล้ว” ยิ่งฮากันใหญ่
รถวิ่งเอื่อยๆไปตามถนน พลันก็เข้าจอดตรงหน้าอันเดอร์วอเตอร์เวิร์ล ทุกคนลงไปเที่ยวชม อาซ้อไม่ลงและอาเฮียก็ไม่ลง
“ไม่ลงหรือครับ น่าชมนะครับสัตว์น้ำแปลกๆ” คุณโจวถาม
“ไม่ละค่ะ วันนี้อยากนั่งพักหน่อย” อาซ้อตอบเบาๆ
ข้างๆ ที่ลานจอดรถบัส มีสนามเล็กๆ ต้นไม้เยอะมาก กลุ่มคนชราและวัยหนุ่มสาวกำลังออกกำลังกายกันอยู่
“ที่เมืองจีนนี่ดีนะ มีที่ว่างตรงไหนก็ปลูกต้นไม้ให้ร่มเงาไปหมด แล้วก็กลายเป็นสวนหย่อมให้ทุกคนออกกำลังกาย” อาซ้อพูดขึ้น
“แต่ผมว่า มีแต่คนแก่นะที่ออกกำลังกาย หนุ่มสาวไม่ค่อยเห็นเลย” ผมร่วมวงด้วย ซึ่งผมเองก็ไม่ลงไปดูเพราะว่าเห็นที่เมืองไทยมามากแล้ว
“ใช่ และก็มีหลายกิจกรรมเช่น กลุ่มหนึ่งรำมวยจีน อีกกลุ่มร้องเพลง อีกกลุ่มนั่งเล่นหมากรุก บางกลุ่มเดินช้าๆ เรื่อยๆ วิ่งก็มีดูซิ ส่วนใหญ่ตัวล่ำๆ แล้วก็กลุ่มเปิดเพลงคลาสสิคเต้นรำ” อาเฮียเสริมเหมือนเตรียมตัวจะเข้าเกณฑ์วัยผู้สูงอายุ
“บ้านเราเห็นมีแต่ที่สวนลุมพินี สวนจตุจักร เอ สนามหลวงมีไหมหนอ” ผมติงแกมถาม
“ที่แน่ๆ เลยนะมีสวนลุมพินีกับสวนจตุจักร ที่สวนลุมพินีมีกิจกรรมมาก คนไปออกกำลังกายมาก แล้วก็มีร้านอาหารจีนทุกรูปแบบมากอยู่มุมหนึ่ง ออกกำลังกายเสร็จก็กินข้าวกันต่อ เป็นเหมือนนัดกันมาสังสรรค์” อาเฮียเล่าไปยิ้มไป
“มีกับข้าวอะไรบ้างครับ” ผมถามเพราะว่าอยากรู้
“ข้าวต้มกุ๊ย กับข้าวจีนทุกประเภท น่ากินทั้งนั้น ซื้อกลับบ้านก็ได้ ข้าวมันไก่ตอนก็ไก่ตอนจริงๆ ข้าวหน้าเป็ดย่างอบน้ำผึ้ง ขาหมูกระทะเบ้อเริ่มเทิ่ม ข้าวหมูแดงหมูกรอบ แถมกุนเชียงหอมๆ โอย พูดแล้วน้ำลายสอปาก” อาเฮียทำท่าหิวขึ้นมาทันใด อาซ้อยิ้ม
“ใช่เลยค่ะ เฮียเค้าชอบไปสวนลุมพินีมาก ชอบกินหลังออกกำลังกาย” อาซ้อเสริม ผมอดหัวเราะไม่ได้ คล้ายๆกันเลย
“แต่ฉันไม่ค่อยชอบไปเพราะว่าไม่ชอบกินมากๆ ตอนเช้า กลัวอ้วน อึดอัด” พลางก็แขม่วท้องก้มหน้าลงมอง
“อ้าว แล้วอาซ้อไปออกกำลังกายที่ไหนล่ะ” ผมต่อ
“เมื่อก่อนนี้รถยนต์ไม่เยอะก็วิ่งบ้างเดินบ้างแถวๆถนนเส้นเตาปูน-วงสว่างแหละค่ะ”
“อ้อ บ้านอาซ้ออยู่แถวเตาปูน งั้นก็แถวซอยไสวสุวรรณซิครับ” ผมพอจะรู้บ้าง เพราะว่ามีญาติอยู่ในซอยนั้น
“ตอนหลังฟุตบาทถูกแม่ค้ายึดหมด วิ่งไม่ได้เลย แต่แม้แต่เดินยังยากเลยค่ะ” ผมพยักหน้าเห็นด้วย
“แล้วอีกอย่างหนึ่งเดี๋ยวนี้รถยนต์ติดมาก ควันดำๆ ฟุ้งไปทั่วถนน ขืนมาวิ่งก็สูดอากาศที่มีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ตายพอดีกัน” อาซ้อพูดต่อเหมือนจะรู้เรื่องมลภาวะเป็นพิษดี
“ที่จริงในซอยก็มีถนนพอจะให้เดินหรือวิ่งออกกำลังกายได้ แต่มีปัญหาเวลาจะออกกำลังกายมาก” อาซ้อพูดแล้วหยุดนิ่ง ทำหน้าแปลกๆ
“เป็นไงหรือครับ” ผมถาม
“หมามันคอยจะเห่าค่ะ” ผมยิ้มอาซ้อทำหน้าผะอืดผะอม
“พอฉันแต่งตัวด้วยชุดวอร์มสีสดๆทำท่าจะวิ่งตอนเช้าทีไร หมามันมารอหน้าบ้านเต็มไปหมด หมาจรจัดนะคะ ฉันไม่เคยให้เอาหารมันเลย” อาซ้อพูดแล้วก็นั่งนึกทำหน้าเหยๆ
“วิ่งได้หน่อยมันก็เห่าแล้วก็ไล่กวด ไม่กัดหรอก แต่ตามเห่ากันเกรียว ฉันละอ๊ายอาย” อาซ้อแสดงความเบื่อหน่ายยังกับเพิ่งวิ่งมาเชียว
“ก็เลยเลิกวิ่ง” ผมเสริม
“ค่ะ เวลามันเห่าฉันนะ มันก็เห่าไล่กันไปทุกบ้านที่มีหมา บางตัวหอนเลย คนก็มอง รำคาญก็รำคาญ”
“น่าจะแจ้ง กทม.ให้มาจับไปบ้างนะ” ผมเสนอ
“คงยากนะคะ บ้านเราคุณธรรมจัด จนหมาจรจัดเต็มบ้านเต็มเมือง ใครเลี้ยงเบื่อก็ปล่อยทิ้งปล่อยขว้าง ทีนี้ก็ออกมาผสมพันธุ์กันเต็มถนน ออกลูกออกหลานกันเต็มไปทุกซอกซอย มีคนใจบุญอีกนะคะที่คอยทำอาหารแล้วก็ไปนั่งเลี้ยงหมาจรจัด ฝูงหนึ่งราวๆ 30 ตัว แค่มันอึก็เหม็นฟุ้งไปทั้งซอย ยอมกินผักไม่ให้อ้วนดีกว่า ครั้นจะไปสวนลุมพินีบ่อยๆ ก็เปลืองเงินมาก เสียเวลามาก แล้วก็อดใจกินอาหารอร่อยๆ ที่นั่นไม่ได้” อาซ้อพูดแล้วทำท่าน้ำลายสอ พลอยให้ผมเป็นตามไปอีกคน
ลูกทัวร์เดินขึ้นรถ แม่บ้านผมนำด้วยหุ่น 46-48-52 แล้วตามด้วยหุ่น 36-30-38 เหน็บด้วยหุ่นหนุ่มหล่อลูกชายผม พอนั่งได้ก็พรรณนาถึงความสนุกที่เดินชมปลาในอุโมงค์ อาเฮียทกลับจากเดินไปฉี่ ตามมานั่งติดอาซ้อ แล้วก็ถามเมียว่าทำอะไรกันอยู่
“ฉันคุยกับคุณเขาเรื่องการออกกำลังกาย และปัญหามลพิษริมถนนบ้านเรา ก็เรื่องวิ่งออกกำลังกายในซอยไม่ได้เพราะว่าหมามันเห่าค่ะ” อาเฮียยิ้มกว้าง
“เรื่องเก่า”
“น่ารำคาญอย่างอาซ้อว่าแหละครับ ผมเห็นด้วย ดูที่นี่ซี ไม่มีหมาสักตัวเดียวที่มาเดินเล่นกับมนุษย์ หรือเดินแอบๆ แถวริมถนน” ผมเสริม
“ฉันว่าที่นี่เขาทำถูกนะคะ รัฐบาลเขาต้องตัดสินใจเลือกเอาทางเลือกที่ดีที่สุดเป็นหลักปฏิบัติ” แม่บ้านผมจับความได้ก็เสริมวงทันที
“เลือกอะไรคะ” อาซ้อถามงง
“ก็เลือกเอาคน ไม่เอาหมาซิคะ” รอยยิ้มเกิดขึ้นอีกรอบหนึ่งอย่างเห็นจริง
“แม้แต่คนยังเกิดได้คนเดียว หมาจะยอมให้เกิดเต็มเมืองได้อย่างไร ซึ่งผิดกับบ้านเราที่มีคนหลงทางหลายคนไปลุ่มหลงและตีความความเมตตาผิดไปหรือเปล่า เช่นมหาจำลองเก็บหมาจรจัดไปเลี้ยง พอมากเข้าๆ ไม่มีอาหารจะเลี้ยง ไม่มียาจะรักษา ก็เที่ยวได้ออกมาขอให้คนอื่นๆ เดือดร้อน ถึงขนาดนายกรัฐมนตรีทักษิณยังบ่นว่า แม้แต่เลี้ยงหมายังมีปัญหาเลย”
“ผมว่านโยบายเรื่องนี้น่าจะต้องใช้ทางโลกมากกว่าทางธรรม ใครเลี้ยงต้องจ่ายภาษีแบบจีน ใคร่เบื่อแล้วจะปล่อยทิ้งต้องจ่ายค่าเลี้ยงดู หรือไม่ก็ห้ามเลี้ยงหมากันไปเลยแบบเมืองจีน ก็คงจะหมดปัญหา”
“อาซ้อจะได้ไปวิ่งออกกำลังกายได้เสียที” ผมตอด มีเสียงหัวเราะเล็กๆ เกิดขึ้น