เมื่อฝนฉ่ำฟ้าไปเที่ยวถ่ายรูปมาโครที่ภูหินร่องกล้า-ภูหลวงไหม?
ธงชัย เปาอินทร์ เรื่อง/ภาพ
ย่างเข้าเดือนหกฝนก็ต๊กพรำๆ กบมันก็ร้องงึมงำ ระงมไปทั่วท้องนา แต่สำหรับผมแล้วรู้ว่า ฝนฉ่ำฟ้าเมื่อใดก็ตาม พืชพันธุ์ขนาดใหญ่เช่นต้นไม้ใบหญ้าจะเขียวขจี แต่พันธุ์พืชขนาดเล็กๆที่ชอบความชื้นแฉะของฤดูกาล และซุกซ่อนตัวอยู่ตามโขดหิน ซอกหลืบมุมลับ กลับเบ่งบานด้วยข้าวตอกฤษี มอส เฟิร์น เห็ด รา และดอกไม้ป่านานาชนิดซึ่งเกิดและดับมากับฤดูกาลเป็นสำคัญ อย่างนี้จึงต้องไปถ่ายรูปมาโครให้ได้ ไม่เชื่อก็ลองไปกันดูได้เลย
เป้าหมายของผมอยู่ที่อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้าแล้วจะไปต่อที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูหลวง ซึ่งสามารถไปมาถึงกันได้ด้วยความสะดวกตามสมควร แต่ละแห่งที่ไปถึงก็ไม่ต้องเดิน 8 ชม หรือต้องปีนป่ายไต่เขาจนง่ามขาระบม เหมาะสำหรับครอบครัวนักท่องเที่ยวทั่วๆไป เด็กๆไปด้วยได้สะบายๆ ไปได้แม้กระทั่งผู้สูงอายุอย่างผมนั่นแหละครับ
ทั้งสองแหล่งนี้เป็นแหล่งที่มีทรัพยากรดังกล่าวข้างต้นอย่างหนาแน่น และมีความหลากหลายให้เลือกเล็งแล้วยิงด้วยกล้องได้เลย ของแถม อาจมีนกสีสวยมาอวดโฉมให้ท้าประลองกันได้อีกด้วย ไม้ป่าหน้าฝนก็เขียวขจีไปทุกหย่อมหญ้า หมอกฝนก็มีผ่านมาบ้างเหมือนกัน แต่ไอหมอกฝนก็ชวนให้มองแล้วเหมือนอยู่ในทะเลหมอกยามหนาวเหมือนกัน
ผมเริ่มต้นด้วยการออกเดินทางจากกรุงเทพราวๆ 19.00 น.ด้วยรถยนต์ขับเคลื่อนสี่ล้อ แต่ไม่ต้องมีโฟร์วีลไดร้ฟ์ก็ไปได้สบายๆ หรือเหมารถตู้ไปกันก็ได้ ช่วงกรุงเทพ-พิษณุโลก ระยะทาง 377 กม. ขับกันไปเมื่อยก็พัก อยากกินกาแฟก็จอด เข้าห้องสุขา ยืดเส้นยืดสายให้ผ่อนคลายแล้วออกเดินทางต่อใช้เวลาช่วงนี้ไม่เกิน 4 ชมครึ่งก็ถึงแล้วสามแยกอำเภอวังทอง เลี้ยวซ้ายก็เข้าพิษณุโลก
เลี้ยวขวาไปตามทางหลวงหมายเลข 12 (พิษณุโลก-หล่มสัก) มุ่งสู่อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า พอวิ่งไปสัก 68 กม.ถึงทางแยกบ้านแยง เลี้ยวซ้ายเข้าไปถนนสายบ้านแยง-อำเภอนครไทย 29 กม.เลี้ยวขวาอีกครั้ง วิ่งไปตามถนนสาย 2331 อีก 31 กม.ก็ขึ้นไปถึงศูนย์บริการนักท่องเที่ยวภูหินร่องกล้า อากาศหนาวเย็นกำลังดี แต่เวลาปาเข้าไปตีสามกว่าๆ ก็เลยขอเข้าห้องสุขาแล้วนอนพักในรถยนต์ เอาแรงไว้สู้ตอนเช้าและแจ้งเจ้าหน้าที่ตามที่ได้จองบ้านพักไว้
พอแสงสีทองเริ่มจับขอบฟ้า พวกเราก็ตื่นแล้วลงไปใช้บริการห้องสุขาอีกครั้ง เดินไปอีกนิดมีร้านขายกาแฟ อาหารเช้าแบบด่วนๆ ผมสั่งข้าวกล่องเหน็บติดไปด้วย กะว่า เมื่อเข้าป่าไปตามเส้นทางศึกษาธรรมชาติสำนักอำนาจรัฐ(3 กม.จากศูนย์บริการ) แล้วก็จะเดินทำงานให้เสร็จไปทีเดียว และจะได้ปิกนิคกลางป่าห้อยขากินข้าวกล่องท่ามกลางสายลมเย็นๆ
พอเริ่มเดินเข้าเส้นทางไปสำนักอำนาจรัฐ มีร่องน้ำไหลแฉะๆไปทั่วพื้นที่โล่งๆ ต้นเอ็นอ้าขนกำลังออกดอกสีบานเย็น ชายดงหญ้ามีต้นกระดุมเงินแทรกอยู่ด้วย ผมและเพื่อนๆกดกล้องกันมือเป็นระวิง มุมมาโครไม่ยากแต่ก็ไม่ง่ายนัก เนื่องจากวัตถุ(Object)มีขนาดค่อนข้างเล็ก เงยหน้าขึ้นได้ก็เดินต่อไปยังลานหินโล่ง
ต้นเหง้าน้ำทิพย์ตั้งอยู่บนลานหินทั่วไป ใบเล็กๆกระจิดริด ดอกยิ่งเล็กใหญ่เลย รากเป็นเหง้าใหญ่ กระทบแสงเช้าที่ยังอ่อนๆอยู่ สวยครับ เลยเข้าไปชายป่ามีดสิตาสีม่วงน้ำเงินพราว แซมด้วยเอื้องนวลจันทร์สีเหลืองเด่น เคล้าด้วยเปราะภูสีขาวอมชมพู ใบเขียวขจีมีเสน่ห์อย่างกับใครมาจัดสวนสวยๆเอาไว้
เลยเข้าไปยังเขตลานหินแตก(Suncrack) ตะไคร่เขียวจับตามซอกหิน และกอหญ้าแปลกตาแซม ข้ามร่องเขาเข้าไปในหมู่กองหินทรายก้อนโตๆ ใต้ร่มเงาต้นไม้ป่ามากมาย เฟิร์นนาคราชที่ขึ้นรกครึ้มถูกแสงสาดใสมองดูใสสวย กดกล้องซิครับ ขยับเขาไปใกล้ๆ บิโกเนียใบสวยๆ เกาะตามหลืบหิน เลือกมุมถ่ายได้อีก
ผ่านไปยังสำนักอำนาจรัฐ บันทึกภาพจำลองอดีตบ้านของเสกสรรค์ ประเสริฐกุลและจีรนันท์ พิตรปรีชา เงยหน้าไปเห็นเห็ดป่าชนิดหนึ่ง กระทบแสงสวยมาก อดใจไม่ไหวครับ ผวาเข้าไปกดเสียหลายเป้ง เชื่อไหมครับว่า เดินกันไปเรื่อยๆ เจออะไรที่เห็นว่าสวยก็ถ่าย มอส เฟิร์น ข้าวตอกฤษียังไม่ค่อยมี(ต้นฝน) แต่ได้เดินทอดน่องไปตามทางเดินเล็กๆ สูดอากาศบริสุทธิ์ 100 % พร้อมกับการได้ขยับเนื้อตัวก็เกินคุ้ม
แวะเวียนไปอีกหลายจุดและเมื่อตะวันรอนๆ ก็ตัดสินใจเดินทางต่อไปยังบ้านพักอุทยานแห่งชาติที่ได้จองไว้ตั้งแต่ก่อนการเดินทางแล้ว บ้านพักเรียบง่ายไม่หรูหราอย่างรีสอร์ท แต่มีน้ำร้อนให้อาบน้ำได้พออุ่น เตียงนอนไม้สักขนาดเล็กๆ ผ้าห่มสะอาดน่านอน
เช้าตรู่ ตื่นนอนด้วยเสียงปลุกจากเพื่อนๆ ล้างหน้าแปรงฟันแล้วก็ออกไปนั่งเก็บบรรยากาศหน้าเรือนพัก ซึ่งเป็นทิศตะวันออกพอดี แสงเช้านุ่มละมุน ภาพที่ถ่ายจึงมีอารมณ์ของความรู้สึกที่สวยงามแฝงอยู่ด้วย มันเป็นเสน่ห์ที่ยากจะหาจากในเมืองใหญ่
หลังเสร็จสิ้นภาระกิจที่ภูหินร่องกล้า รถยนต์ของเราทะยานลงเขาไปอย่างรวดเร็ว ถนนสาย 2331 มุ่งสู่อำเภอหล่มเก่า ไต่เขาไปด้วยความระทึก ผ่านบ้านม้งทับเบิก แล้วเลี้ยวซ้ายขึ้นไปยังอำเภอภูเรือ จังหวัดเลย(203) รถยนต์วิ่งเลยอำเภอภูเรือไปเพียง14 กม.ถึงบ้านสานตมเลี้ยวขวาตามป้ายบอกทางเข้าถนนมุ่งสู่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูหลวง ระยะทาง 18 กม.ใช้เวลาไปกว่า 3 ชม.
ถึงหน่วยพิทักษ์ป่าโคกนกระบาระดับความสูงจากน้ำทะเลปานกลาง 1,464 เมตร ลมเย็นพัดกระทบใบหน้าทันทีที่ลงรถ อุณหภูมิช่วงฝนเย็นกว่าช่วงร้อน ราวๆ 12 องศาเซลเซียส เย็นเยือกเลยครับ แจ้งเจ้าหน้าที่เรื่องที่พัก อาหารการกิน และเก็บสัมภาระ คืนนั้นนอนหนาวแต่ไม่เหงาใจเลย ดนตรีไพรแว่วหวิวมาตลอดทั้งคืน ไม่รู้ว่าเสียงนกอะไรบ้างที่ร้องตอนกลางคืน และก็ไม่รู้ว่าเสียงแมลงหรือสัตว์ชนิดไหนร่ำร้อง
เช้าตรู่ เตรียมตัวกันพร้อมไปถ่ายรูป แวะกินกาแฟและข้าวต้มเครื่องสองชาม แบกน้ำหนักกล้องและเลนส์ พร้อมข้าวกล่องเหน็บเอวไปด้วยอีกตามเคย เราตัดสินใจเดินไปตามเส้นทางศึกษาธรรมชาติลานสุริยัน ผ่านป่ากุหลาบแดงกุหลาบขาวไปอย่างตื่นเต้น
แต่ละช่วงที่เดินไปมีพันธุ์พืชให้ถ่ายรูปด้วยระบบมาโครอย่างจุใจ ดอกไม้ป่าและดอกกล้วยไม้ตามฤดูกาลออกดอกไปทุกหย่อมหญ้า การเดินทางจึงมิใช่การเดินเล่น หากแต่ต้องหยุด ก้ม นั่ง หมอบ มุด คลาน เพื่อให้ได้รูปอย่างที่อยากถ่าย
ความมหัศจรรย์ของผืนป่าภูหลวง มีความหลากหลายสายพันธุ์ยิ่งกว่าที่ใดๆ แต่อย่างไรก็ตาม หากไปในฤดูไหนๆ ก็จะได้พันธุ์ไม้ที่ออกดอกในช่วงฤดูนั้นๆเท่านั้น ส่วนพันธุ์ไม้อีกหลายชนิดต้องรออีกฤดูต่อไปย่างกรายเข้ามา นั่นก็ค่อยว่ากันอีกคำรพหนึ่ง
ดูภาพที่ถ่ายมาก็แล้วกัน นี่ขนาดว่าถ้าเป็นกล้วยไม้ละก้อ ไม่ค่อยอยากถ่ายหรอกนะ ชอบอย่างอื่นๆ มากกว่า เข้าตำราลางเนื้อชอบลางยาครับ การเดินทางขึ้นมานอนและทำงานบนภูหลวงท่ามกลางอากาศที่เย็นตลอดปี ไม่รู้สึกเหนื่อยเลย ทำได้เรื่อยๆ เดินได้เรื่อยๆ แม้แต่น้ำยังไม่ค่อยหิว
การเดินทางกลับ เป็นความรู้สึกที่โหวงเหวงอย่างยากจะพรรณา เหมือนจะอาลัย เหมือนจะ
ไม่อยากจากลา เหมือนว่าจะหลงไหลไปด้วยมนเสน่ห์บางอย่าง เหมือนมีสิ่งหนึ่งเข้ามาสิงสถิตย์อยู่ในใจให้ห่วงหา เหมือนว่า.... ลาก่อนภูหลวง