วันว่าง เวียนไปเที่ยวเวียงวังยังอยุธยา ได้เป็นปี ไม่มีเบื่อ
ด้วยระยะทางเพียง 70 กม. ไปจากกรุงเทพ-นนทบุรี-สมุทรปราการ ได้หลายเส้นทาง ขึ้นรถไฟ ไปรถยนต์ปรับอากาศประจำทาง นั่งเรือด่วนทวนแม่น้ำเจ้าพระยา หรือขับรถไปได้อย่างสะดวกโยธิน ใช้เวลาแค่ 1-1.30 ชม.ก็ถึงแล้ว ค่าน้ำมันไปกลับไม่เกิน 500 บาท เลือกได้อย่างใจหมาย ผมตัดสินใจขับรถยนต์ส่วนตัวไปด้วยตนเอง วัย 61 ปียังไม่ยากอย่างที่คิดกลัวกันหรอก
แต่ก็อย่างว่า ถ้าถามว่าไปมากี่ครั้งแล้วอยุธยาน่ะ ยอมรับว่าไปมาหลายครั้ง แต่ไปกี่ครั้งๆก็ยังไปไม่ทั่ว เที่ยวไม่หมด มีเรื่องราวทั้งทางประวัติศาสตร์ และพุทธศาสนาที่มากมายเหลือคณนานับ เมืองที่มีอดีตเป็นราชธานีแห่งชนชาติไทย(อโยธยา-กรุงศรีอยุธยา)มายาวนานกว่า 417 ปี บันทึกเรื่องราวเป็นพงศาวดารได้เท่าภูเขาเลากา ผมยังคิดไม่ออกเลยว่า ตายไปผมจะยังไปวนเวียนเที่ยวอยุธยาได้หมดสิ้นกระทงความหรือเปล่า ทรัพยากรท่องเที่ยวที่อยากเรียนรู้เพียบเลย
ผมขับรถไปด้วยหัวใจระเริงเลย เป็นอีกครั้งหนึ่งในชีวิตที่ได้ไปเดี่ยวๆ แบบลุยเลยพี่ กล้อง 2 ตัว ดิจิตอลซิครับ หมดยุคกล้องใช้ฟิล์มไปแล้ว แม้ว่าอายุจะ 61 ปีก็ต้องฟรีสไตล์ไปกับเขาด้วย มีน้ำดื่ม ยาหม่อง ยาดม ยากันยุงสมัยใหม่หอมชื่นใจ ถ้าบันทึกภาพได้ไม่สาสมใจมาฝากแฟนๆละก้อ ไม่กลับ ว่าไปโน่นเลย โม้เสียไม่มี
เข้าถนนสายอยุธยาด้วยหัวใจระริก จะไปทางไหนดีวะ มากี่ครั้งๆ ก็หลงทางทุกที ยังคุยว่ายังไม่แก่นะมึง ผมตัดใจแวะไปหาเพื่อนรุ่นน้องที่เปิดเป็นร้านขายอาหารประกอบเกสท์เฮ้าส์ และนำเที่ยวในชื่อ วันเลิฟ(ONE LOVE) ริมถนนสายในเมือง อยู่ตรงข้ามวัดพระมหาธาตุ โบราณสถานในกลุ่มเดินท่องเที่ยวได้ ขี่จักรยานเที่ยวรอบเมืองได้ นั่งสามล้อเครื่องได้ ได้กระทั่งสามล้อปั่น
กิจการของเพื่อนผมเป็นกิจการในครอบครัวขนาดเล็ก มีห้องพักแบบเกสท์เฮ้าส์ 6 ห้องในบ้านเรือนไทย ชั้นล่างเป็นร้านอาหาร และกิจการนำเที่ยวอยุธยา 499 บาท ส่วนใหญ่ลูกค้าชาวต่างชาติที่ไปกิน-นอนที่เกสท์เฮ้าส์นี้ คุณวิมล ขันแก้ว จะเป็นมัคคุเทศก์นำเที่ยวให้ฟรีถ้าต้องการ แต่ถ้าลูกค้าประสงค์ที่จะดั้นด้นไปกันเองก็ไม่ว่ากัน กลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติเช่น ฝรั่ง(ชาติไหนบ้างก็ไม่รู้) ญี่ปุ่น จีน อินเดีย คนไทยก็แวะไปรับประทานอาหารบ้าง
พอนั่งโม้จนรู้ทิศทางแล้ว ผมตัดสินใจขับรถไปเที่ยววัดซึ่งมีประวัติความเป็นมาว่าสร้างมาก่อนที่จะมีการตั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี วัดนี้มีเรื่องราวเล่าเยอะแยะไปหมด แต่พอจะสรุปความได้ดังนี้คือ
ตามพงศาวดารเหนืออ้างว่า พระเจ้าสายน้ำผึ้ง ทรงสร้างวัดนี้เพื่อเป็นที่ระลึกถึงแด่พระนางสร้อยดอกหมาก ธิดาพระเจ้ากรุงจีน แล้วโปรดให้พระนามว่า วัดเจ้าพระนางเชิง ซึ่งเป็นย่านที่มีคนเชื้อชาติจีนเข้ามาค้าขาย วัดแพนงเชิงตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำป่าสักฝั่งซ้าย วัดนี้แหละครับที่มีหลวงพ่อองค์โตมาก หน้าตักกว้าง 7 วา 10 นิ้ว สูง 9 วา 2 ศอก ปางมารวิชัย ซึ่งคนเชื้อชาติไทยเรียกว่าหลวงพ่อโต แต่คนเชื้อชาติจีนเรียกว่า ซำปอกง (หลวงพ่อโต) มีหลักฐานการสร้างวัดนี้จากหนังสือพงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ บันทึกไว้ว่า
"จุลศักราช 686 ชวดศก (พ.ศ.1867) แรกสถาปนาพระพุทธเจ้าแพนงเชิง"
นั่นหมายความว่าพระพุทธเจ้าแพนงเชิงนี้สร้างก่อนตั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีถึง 26 ปี ก่อนที่พระเจ้าอู่ทองจะทรงย้ายราชธานีมาที่หนองโสนสร้างเป็นพระนครศรีอยุธยา เมื่อปีพ.ศ.1893 ในพื้นที่น้ำล้อมรอบทั้งสี่ทิศคือ ทิศเหนือแม่น้ำลพบุรี ทิศตะวันตกและทิศใต้แม่น้ำเจ้าพระยา และทิศตะวันออกแม่น้ำป่าสัก
พระพุทธรูปปางมารวิชัยองค์นี้ เป็นศิลปะอโยธยา-สุพรรณภูมิ ซึ่งเป็นศิลปะก่อนกรุงศรีอยุธยาตอนต้น เช่นเดียวกับพระพุทธรูปปูนปั้นในยุคนี้คือ หลวงพ่อโตวัดป่าเลไลย์ จังหวัดสุพรรณบุรี อันต้นกำเนิดของวัดนี้ก็มีเรื่องราวเล่ากันถึงความรักรันทดของพระเจ้าสายน้ำผึ้งและพระนางสร้อยดอกหมากให้กำศรวลน้อยเสียเมื่อไหร่ เคยดูหนังเรื่องนี้มีมิตรชัยบัญชาแสดงเป็นพระเจ้าสายน้ำผึ้ง นางเอกจำไม่ได้เสียแล้วซิไอ้แก่เอ้ย ตอนนั้นดูหนังแล้วน้ำตานองหน้าเลย สงสารนางเอกที่แต่งงานกับพระเจ้าสายน้ำผึ้งแล้วเดินกลับมายังกรุงอโยธยา
แต่ครั้นเรือมาจอดเทียบริมฝั่งแม่น้ำใกล้เมือง รอให้พระเจ้าสายน้ำผึ้งมารับเข้าเมือง ส่วนพระเจ้าสายน้ำผึ้งคงจะยุ่งงานบ้านงานเมืองจึงตรัสไปว่า มาจนถึงแล้วแค่นี้ไม่ขึ้นมาจากเรือก็ตามใจ พระนางสร้อยดอกหมากทรงน้อยพระทัยยิ่งนัก ตนเองสู้อุตสาหะเดินทางมาไกลแสนไกล กลับได้รับรู้พระดำรัสเช่นนั้น ก็กลั้นใจจนตายไป
เมื่อพระเจ้าสายน้ำผึ้งได้ทรงทราบก็โทรมมนัสยิ่งนัก จึงได้สร้างวัดนี้ขึ้นเพื่อเป็นทางบุญให้พระนางสร้อยดอกหมากได้เดินขึ้นสู่สรวงสวรรค์ชั้นฟ้า นี่เรื่องย่อๆนะ แต่ก็กินใจว่า สามีภรรยานั้น มธุรสวาจาสำคัญยิ่งนัก เพียงแค่ผิดเพี้ยนด้วยประการใดๆ ก็อาจสร้างปมในใจให้กับอีกฝ่ายหนึ่งได้ เห็นไหมละครับว่า วัดนี้ถือว่าเก๋าไหมล่ะครับเพ่ ได้ข้อมูลนี้แล้วผมจึงตัดสินใจไปตามเรื่องราวที่ยิ่งใหญ่ หวานซึ้ง และชวนกำศรวลสลด
พอจอดรถยนต์เรียบร้อย ผมเดินไปหน้าพระอุโบสถหลังมหึมา พบว่ามีผู้คนมากมาย กลิ่นธูปควันเทียนหอมฟุ้งลอยมาแต่ไกล ผมถอดรองเท้าเก็บเข้าที่แล้วเดินไปถ่ายภาพนักท่องเที่ยวที่มาในรูปของพุทธศาสนิกชน กำลังจุดธูปบ้าง กำลังจรดธูปเหนือหัวบ้าง บ้างก็กำลังก้มกราบ และมีอีกมากมายหลายเชื้อชาติ จีน ไทย ญี่ปุ่น เกาหลี ฝรั่งอั้งม้อ เดินเข้ามาคารวะด้วยรูปแบบแปลกๆ ผู้ที่ถือกล้องก็จะบันทึกภาพไว้เป็นที่ระลึก
ผมแยกไปถ่ายรูปในอุโบสถเล็กๆสองหลังซ้ายขวาอุโบสถองค์ประธาน ยืนพินิจพิจารณาศิลปะบนฝาผนังอุโบสถและพระพุทธรูปประธาน ประดับประดาด้วยสิ่งละอันพันละน้อยภายในอุโบสถ ดูในภาพละกัน ของเหล่านี้ได้ทราบว่า ผู้ศรัทธานำมาถวายให้ป็นเครื่องบูชา เลยกลายเป็นเครื่องประดับภายในไปโดยอัตโนมัติ
ผมออกจากอุโบสถเล็กๆสองหลังแล้วเดินตามฝูงชนเข้าไปยังหลวงพ่อโต เห็นคนเบียดเสียดกันตรงประตูก็กดชัตเตอร์ไว้ในเมมโมรี่ ดูภาพซี ช่วงเข้าพรรษานี่จะมีการทำบุญถวายผ้าจีวรให้กับหลวงพ่อโต รายได้ค่าเช่าผ้าก็เข้าวัด บำรุงพระศาสนาและตกแต่งให้วัดสวยงามอยู่เสมอมา พลังศรัทธายิ่งใหญ่ที่สุด ถ้าไม่มีพลังศรัทธาแม้บังคับก็ไม่ได้ใจ
ในปีพ.ศ. 2397 พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้โปรดให้บูรณะหลวงพ่อโตใหม่ทั้งองค์และทรงให้พระนามว่า พระพุทธไตรรัตนนายก เป็นสิริมงคลสืบมา พระพุทธรูปเนื้อปูนปั้น ปางมารวิชัย หน้าตักกว้าง 7 วา 10 นิ้ว สูงตลอดรัศมี 9 วา 2 ศอก สวยสง่างามยิ่งนัก
ส่วนเรื่องความศักดิ์สิทธิ์เลื่องชื่อลือชามาตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีแล้วว่าเมื่อใกล้จะเสียกรุง หลวงพ่อโต มีน้ำพระเนตรไหลลงมาทั้ง 2 ข้าง เป็นลางบอกเหตุการณ์ล่วงหน้า ต่อมาในสงครามโลกครั้งที่ 2 มีการทิ้งระเบิดจากเครื่องบินถึง 20 ลูก แต่กลับแคล้วคลาด ไม่มีส่วนไหนของวัดพนัญเชิงถูกสะเก็ดระเบิดเลย
ผมยกมือไหว้แล้วเดินวนไปแหงนดูช่องบรรจุพระพุทธรูปองค์เล็กๆที่ช่องฝาผนัง ผมพยายามจะนับว่า ในอุโบสถหลวงพ่อโตวัดพนัญเชิง จะมีพระพุทธรูปปางต่างๆอยู่กี่องค์กันแน่ แหงนคอไปเดินนับไป โอย จะเป็นลม หน้ามืดซี ตัดสินใจว่า ต่อให้มีบุญแล้วมาเมื่อกำลังหนุ่มแน่นกว่านี้ก็นับไม่ถ้วน ใครจะลองสมาธิด้วยการนับพระพุทธรูปในอุโบสถหลังนี้ก็เชิญเลย ผมยอมแพ้ครับ
ดังนั้น เมื่อเราเข้าไปกราบไหว้หลวงพ่อโต จึงมิใช่ว่าจะกราบไหว้แต่หลวงพ่อโตหรอกนะครับ ท่านได้กราบไหว้พระพุทธรูปอีกมากมายหลายปาง ส่วนจะกี่ร้อยหรือถึงพันองค์ ก็แล้วแต่ งานนี้ได้บุญหลายๆเด้อครับ
ผมออกจากอุโบสถก็เดินเวียนซ้ายไปทางศาลเจ้ากวนอู และศาลเจ้าแม่สร้อยดอกหมาก ผู้คนเดินวนเวียนกันไปทั่ว กลิ่นธูปควันเทียนหอมชื่นใจโชยมาแต่ไกลๆ ชนเชื้อชาติเอเซียเรานี้แสนดีหนักหนา มีศรัทธาก็จุดธูปจุดเทียนไหว้ แล้วก็หยอดเหรียญ แบงค์ ใส่ตู้ตามกำลังศรัทธา วันหนึ่งๆ ไม่รู้ว่าทุกตู้มีเงินต่อยอดพระพุทธศาสนาเท่าไร ได้มากก็เป็นผลบุญของพระพุทธศาสนา
ผมเดินเก็บภาพไปทีละส่วนๆ ประตู หน้าต่าง กรอบประตู กรอบหน้าต่าง ล้วนสลักเสลาและลงสีได้งามตาเหลือกำลังครับ สีที่ชนเชื้อชาติจีนถือว่าสูงสง่าและเป็นสิริมงคลก็ต้องสีแดง สีเหลืองทอง หรือสีสดใสทุกแม่สี ละเลงกันด้วยความสวยเริดอลังการ เป็นว่ามีพื้นที่ไหนว่างไม่ได้เลย มีภาพทุกซอกทุกมุม แค่เรื่องดูภาพเขียนผมก็มีความสุขแล้ว ส่วนจะรู้หรือไม่รู้ความหมาย นั่นอีกเรื่อง แฮะๆๆ!!
หลุดไปรอบกำแพงแก้วของอุโบสถ ไม่เหมือนกำแพงแก้ววัดไหนๆ เลย วัดนี้ช่างสลักเสลาด้วยปูนปั้นชุดรามเกียรติ์วิจิตรพิศดารครับ งานฝีมือช่างอยุธยาอวดได้ทั้งโลก ตัวละครแต่ละตัวปรากฎลีลาท่าทางบนผนังนี้จนโอบไปถึงด้านหลังอุโบสถ มีสิ่งดีๆที่เป็นศิลปะเสริมแต้มแต่งไปทุกที่ น่าเสียดายเพียงว่า ควรเปิดทางเดินให้ได้ชมภาพกว้างๆ หน่อย จะได้ดูได้สะดวกๆ
หลังอุโบสถเป็นกุฎิพระสงฆ์องคเจ้า สร้างแบบเรือนไทย ฝาเฟี้ยมหรือบางทีก็เรียกฝาประกัน ดูสะอาดตาน่าศรัทธายิ่ง พระสงฆ์และสามเณรจำวัตรได้ด้วยสับปะและสมาธิที่มุ่งมั่นศึกษาพระธรรม เพื่อสืบทอดพระศาสนาต่อไป ทั้งนี้ก็ด้วยทานบารมีที่ทุกผู้แห่งพุทธศาสนิกชนที่เข้ามาบริจาคให้ไว้ในวัดนี้ ด้วยรูปแบบแตกต่างกันไป
ผมต้องตัดใจเดินทางต่อไปยังวิหารมงคลบพิตร ผ่านปางช้างอยุธยาเลี้ยวขวาเข้าไปจอดรถยนต์ใกล้วิหารได้ วิหารมงคลบพิตรนี้เป็นที่ประดิษฐานพระมงคลบพิตร พระพุทธรูปสัมฤทธิ์สูง 12.45 เมตร หน้าตักกว้าง 9.45 เมตร สร้างขึ้นในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ซึ่งทรงครองราชย์ระหว่างปีพ.ศ.1991-2031 ผนังรอบวิหารเลียบ ไม่มีภาพบนฝาผนัง เสาวิหารรูปสี่เหลี่ยมหยักมุมใหญ่มาก หน้าวิหารมีนกกระจาบในกรงขังจำหน่ายให้คนใจบุญปล่อย ล็อตเตอรรี่ก็มี ด้านข้างทิศใต้มีร้านขายของที่ระลึกหลายร้าน เดินดูเพลินดีเหมือนกัน
ทิศเหนือวิหารมงคลบพิตร มีวัดพระศรีสรรเพชญ์ ด้วยศรัทธาในพระพุทธศาสนา สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ได้ทรงสละพื้นที่สร้างปราสาทให้เป็นเขตพุทธาวาส อันเป็นวัดในวัง จึงไม่มีพระสงฆ์จำวัตรแต่อย่างใด ทรงใช้เป็นที่บำเพ็ญบุญในพระราชพิธีต่างๆ เช่น พิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยา ต่อมาในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 (ครองราชย์ปี พ.ศ.2034-2072)ปีพ.ศ.2035 ทรงสร้างสถูปใหญ่ 2 องค์ เพื่อบรรจุอัฐิธาตุของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ(พระราชบิดา) และสมเด็จพระบรมราชาธิบดีที่ 3(พระเชษฐาธิราช) พ.ศ.2042 ทรงสร้างวิหารขึ้น
ปีพ.ศ.2043 ทรงหล่อพระพุทธรูปยืน สูง 8 วา หุ้มทองคำหนัก 286 ชั่ง ทรงถวายพระนามว่า พระศรีสรรเพชญ์ดาญาณ ในที่สุดจึงเรียกวัดนี้ว่า วัดพระศรีสรรเพชญ์ ต่อมาในสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 4 (ครองราชย์ พ.ศ.2072-2076) ได้ทรงสร้างสถูปใหญ่อีก 1 องค์เพื่อบรรจุอัฐิธาตุของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 รวมเป็นเจดีย์ใหญ่รวม 3 องค์ ดังในภาพ ส่วนพระยืนองค์นั้นได้ถูกทำลายไปเมื่อครั้งเสียกรุง ทองคำหายเรียบครับ
ผมเข้าไปช่วงเย็นย่ำตะวันคล้อยลงลับขอบฟ้าทีละนิดๆ มุมภาพที่ถ่ายได้จึงเป็นตามแสงบ้าง ภาพซิลลูเอทย้อนแสงบ้าง ผมกับหมู่ช่างภาพอิสระอีกกลุ่มหนึ่งเพียรรอให้ตะวันลับขอบฟ้า เพื่อว่าจะได้แสงสีทองสาดขึ้นเต็มท้องฟ้า(ผีตากผ้าอ้อม) แต่ รปภ.อุทยานได้เข้ามาขอให้ออกไป พวกเราพยายามต่อรองเพราะว่าอีกแค่ช่วงเวลาหนึ่งไม่เกิน 35 นาที น่าจะได้ภาพและมุมที่สวยที่สุด เขาข่มขืนโคเขาให้กินหญ้าได้สำเร็จ พวกเราต้องไปอยู่นอกเขตกำแพงวัด โคตรเซ็งเลยซิ
ในมุมที่ถูกบังคับ คนตัวสูงก็ดีไป แต่คนไทยตัวเล็กเตี้ยแถมอ้วนด้วยแก่ด้วยต้องไปขะเย้อขะแย่งพยายามยืดสุดด้วยปลายเท้า แล้วถ่ายตามแสงไฟสป็อตไลท์ของอุทยานฯ มันก็ได้อย่างที่เห็นในภาพนะครับ มีสิ่งกีดขวางมากมายหลายจุด หลบก็เสียสวย ถ่ายก็ได้แค่ที่เห็น ประกอบกับด้านหน้าวัดมืดมาก ถ้าไม่อยู่กันหลายคนก็คงเผ่นเหมือนกัน ไม่ได้กลัวผีหลอก แต่กลัวคนปล้นตีชิงวิ่งราวกล้องราคารวมๆ แต่ละคนก็เหยียบแสนบาท บางคนอาจจะกว่า ฮูยยย เสียวไส้
ขณะที่พวกเราพยายามจะถ่ายกันอยู่ ก็ยังมีรถตู้บ้าง รถสามล้อติดไฟพราวเลยบ้าง นำพานักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมานับสิบคันทีเดียว พวกนักท่องเที่ยวเดินเข้ามาดูกันทีละกลุ่ม แล้วก็เดินกลับไปในชั่วเวลาเดี๋ยวเดียวเท่านั้น ถามว่าทำไมหรือ ผมไม่รู้ ได้ยินเสียงมัคคุเทศน์บางคนพยายามจะอธิบายเรื่องราวย่อๆ แต่ก็คงจะรีบๆ ส่วนจะกลัวหัวหดเหมือนผมหรือเปล่าผมไม่รู้จริงๆ ข้าขอสาบานเลย ถ้าต้องไปเดี่ยวๆ อีกละก้อ ข้าขอบายโว๊ย!! กลัวถูกทุบ
นี่ถ้าเขาตกแต่งบริเวณนี้ให้มีแสงไฟบ้าง เก้าอี้นั่งเล่นบ้าง ยิ่งมีเครื่องดื่มเบาๆ ขายอีกสักอย่าง นักท่องเที่ยวและนักถ่ายภาพก็คงอยากจะอยู่นานๆ นั่งดูปราสาทและฟังเรื่องเล่าที่ควรจะได้รับรู้มากมาย นั่งอยู่กลางแจ้ง ลมโชยอ่อนๆ ใครๆ ก็ชอบ ไม่รู้ว่า เจ้าหน้าที่ของ ททท. เจ้าหน้าที่ของอุทยานประวัติศาสตร์ และผู้ว่าราชการจังหวัดนี่เขาเคยมาเยี่ยมกรายบ้างไหมว่าบรรยากาศมันเป็นอย่างไร
ควรพัฒนาเพื่อเพิ่มศักยภาพแหล่งท่องเที่ยวมากขึ้นหรือว่าปิดมันเสียเลยดีฟะ!!!
เห็นไหมครับ เพียงเศษเสี้ยวกระจิดริดของทรัพยากรท่องเที่ยวเวียงวังยังอยุธยา ยังหมดไปแล้ววันหนึ่ง อ่านแล้วจะอยากรู้อีกไหมว่า ประวัติศาสตร์บ้านเกิดเมืองนอนของเรายังมีอะไรที่น่ารู้และเก็บงำใส่สมองไว้ก่อนตายไหม? ถ้ายังไม่เบื่อก็คลิ๊กขึ้นมาอ่านและชมภาพนะครับ ส่วนผมมีหน้าที่ต้องไปย่องๆ หาทั้งเรื่องและภาพมานำเสนอเจ้านาย เอ้ย! คุณๆ ผมก็จะพยายามเท่าที่กำลังแรงกายและใจของคนแก่อายุ 61 ปี ยังพอที่จะตอบแทนพระคุณแผ่นดินได้ ว่าไปนั่น อ้วกๆ
ผมหงอกจนขาวโพลนแบบป๋าแล้ว ยังสะเออะใช้สำนวนป๋ามาว่าอีกนะมึง ไอ้แก่