ปักกิ่งหรรษา ตอน 17 สุสานสิบสามกษัตริย์
เช้าวันนี้อากาศดีไม่ร้อนไม่หนาว แต่ลมยังพัดแรงเช่นที่เคยเป็น ฤดูใบไม้ผลิที่ปักกิ่งน่าท่องเที่ยวทีเดียว หลังรับประทานอาหารเช้าแบบทัวร์ราคาพอประมาณ ก็ขึ้นรถนำเที่ยวต่อไปตามรายการ
“เช้านี้เราจะมุ่งตรงไปยังทิศเหนือของนครปักกิ่ง
“คุณโจวครับ ผมงงจังว่าทำไมรถนำเที่ยวของเราไปไหนค่อนข้างช้า ระยะทางไม่ไกลแต่ใช้เวลานานไปหรือไม่ เหมือนเลี้ยงเวลานะ ผมสงสัยมานานหลายวันแล้ว”
คนใจร้อนแห่งกรุงเทพมหานคร เมืองที่มีการจราจรติดขัดมากที่สุด และคนใจร้อนมีมากกว่าคนใจเย็นอดไม่ไหว คุณโจวใจเย็นยิ้มกว้างแล้วตอบ
“กฎหมายจราจรที่ปักกิ่ง รถยนต์วิ่งเร็วที่สุดได้ชั่วโมงละ
มีคนร้องอ๋อหลายคน แสดงว่ามีนักท่องเที่ยวสงสัยเหมือนกันหลายคน น่าขอบคุณคนถามนะนี่
“เส้นทางที่เรากำลังมุ่งหน้าไปนี้ เป็นสุสานสิบสามกษัตริย์แห่งราชวงศ์หมิง แต่ก่อนอื่นอยากเล่าให้ฟังถึงเรื่องราวของราชวงศ์หมิงสักหน่อย เผื่อจะได้ทราบเรื่องอย่างกระจ่างแจ้งมากขึ้น เรื่องมันเป็นอย่างนี้ครับ” คุณโจวเริ่มต้นอีกครั้ง
“ค.ศ.1368 จูหยวนจาง ลูกชาวนาที่รวบรวมสมัครพรรคพวกนำทัพขับไล่ชาวมองโกลแห่งราชวงศ์หยวนออกไปสำเร็จ แล้วสถาปนาเป็นกษัตริย์องค์แรกของราชวงศ์หมิง ทรงพระนามว่า หมิงไท่จู ตั้งราชธานีขึ้นที่นครนานจิง ในขณะเดียวกันก็ทรงเลือกพื้นที่สร้างสุสานของราชวงศ์ควบคู่กันไปด้วย เรื่องนี้ถือเป็นกฎมณเฑียรบาลหรือขนบธรรมเนียมประเพณีที่สืบทอดกันมายาวนาน สุสานแห่งราชวงศ์หมิงเรียกว่า สุสานเสี่ยวหลิง”
“ราชวงศ์หมิงครองราชย์อยู่นานแค่ไหนครับ” ผมถาม
“ราชวงศ์หมิงเป็นชาวฮั่นที่ครองราชย์ตั้งแต่ ค.ศ. 1368-1644 รวม 276 ปี ตั้งราชธานีสองแห่งๆ แรกก็ที่หนานจิงหรือ นานกิง ซึ่งถือกันว่าเป็นราชธานีทางใต้ แล้วสร้าง สุสานเสี่ยวหลิง (สุสานหมิงไท่จู) ฝั่งพระบรมศพ 2 พระองค์เท่านั้น ต่อมา ค.ศ. 1406 จักรพรรดิหย่งเล่อ รัชกาลที่ 3 แห่งราชวงศ์หมิง ตัดสินพระทัยย้ายราชธานีไปยังเมืองเหนือคือ นครปักกิ่ง หรือเป่ยจิง ซึ่งถือว่าเป็นราชธานีทางเหนือ หลังจากทรงสร้างพระราชวังใหญ่โตที่พวกเราไปชมมาแล้วนั่นแหละครับ ส่วนสุสานกษัตริย์แห่งใหม่ก็ทรงเลือกพื้นที่ในหุบเขา เทียนโซวซัน หรือภูเขาอายุยืนเท่ากับสวรรค์มีพื้นที่กว้างขวางถึง 40 ตารางกิโลเมตร ณ สุสานนี้ฝังพระบรมศพกษัตริย์ราชวงศ์นี้ถึง 13 พระองค์ งานสำคัญอีกอย่างคือ ทรงสร้างกำแพงหมื่นลี้ทางตอนเหนือเพิ่มขึ้น ป้องกันคนนอกกำแพง" คุณโจวร่ายยาวยืด
รถนำเที่ยววิ่งผ่านป่าต้นหยางซู ที่ปลูกสองฝั่งถนนอย่างสวยงาม ร่มรื่น แต่ละต้นใหญ่โตไม่เบา สองข้างทางเป็นสวนผลไม้จำพวก สาลี่ แอปเปิ้ล เท่าที่สายตาพวกเราส่ายไปก็เห็นต้นไม้ที่มีแต่กิ่งก้านโด่เด่ แท้จริงมีการตัดแต่งกิ่งหลังฤดูผลิตผล เพื่อให้เกิดกิ่งใหม่ หรือบางทีก็เรียกว่าการทำสาวต้นไม้ ด้านหน้ารถเป็นภูเขาขนาดใหญ่ หุบเขากว้างขวางนั่นแหละภูเขาเทียนโซวซันอย่างที่คุณโจวเล่าให้ฟัง
“ตามราชประเพณีเมื่อตั้งราชวงศ์ สร้างวังแล้วก็ต้องสร้างสุสาน ซึ่งมีหลักสำคัญในการเลือกพื้นที่ต้องทำให้เกิดความสุข ความเจริญและความยั่งยืน ส่วนพื้นที่ที่เลือกต้องมีทิศเหนือ เป็นภูเขาที่มีความมั่นคงเหมือนพนักพิงของเก้าอี้ แล้วก็ต้องมีอายุเท่ากับสวรรค์ภูเขาด้านนี้จึงต้องสูง ทิศใต้ต้องเป็นที่ราบมีแม่น้ำไหลผ่านเป็นที่ดินที่อุดมสมบูรณ์ มีดินดี ทำการเกษตรกรรมได้ดี และมีน้ำพอเพียงให้ความชุ่มชื้นแก่แผ่นดินทำกิน ทิศตะวันออก ต้องเป็นภูเขาที่ทอดขวางกับแนวทิศเหนือเสมือนเท่าแขนข้างขวาของพนักเก้าอี้ ถือกันว่าเป็นภูเขาเสือเขียว”
“อย่าเพิ่งลงครับ ฟังผมก่อน เห็นคนที่วิ่งกันเข้ามาที่รถไหม นั่นแหละพ่อค้าแม่ค้าผลไม้ทั้งนั้น ผลไม้ฤดูนี้เป็นผลไม้ที่เก็บรักษาไว้ (ฝังไว้ใต้ดิน) รอเวลาเอาไว้ขายได้นาน ๆ ซื้อง่ายอาจได้ผลไม้ที่ข้างในเน่า แต่ข้างนอกมองดูดี แล้วก็อาจราคาแพง ผมขอให้รอซื้อหลังการท่องเที่ยวสุสานก่อนนะครับ ซื้อขณะที่รถกำลังจะออก ประเดี๋ยวจะเลือกกลุ่มแม่ค้าที่เชื่อถือได้มาให้ซื้อครับ เอาละ คราวนี้ลงรถได้แล้วรอผมซื้อตั๋วหน้าสุสาน”
ทันทีที่คุณโจวก้าวลงรถก็ถูกพ่อค้าแม่ค้า แต่งตัวดูเป็นคนจีนบ้านนอกมาก รุมล้อมจนมองไม่เห็นคุณโจว เห็นแต่ปลายธงเหลือง ก็พ่อค้าตัวใหญ่ๆ สูงๆ ทั้งนั้น บังคุณโจวมิดหมด พวกเราสงสัยกันว่าสุขภาพคุณโจวจะเป็นอย่างไร หากไม่ยอมให้ลูกทัวร์ซื้อผลไม้จากพ่อค้าเหล่านั้น
“สุสานที่เห็นข้างหน้านี้คือ สุสานของจักรพรรดิหมิงเฉิงจู่(หย่งเล่อ) รัชกาลที่ 3 กษัตริย์ผู้ย้ายราชธานี และสร้างสุสานแห่งสิบสามกษัตริย์ขึ้น เรียกว่า สุสาน 13 หลิง สุสานที่เห็นสวยสง่ามากที่สุดบนดินนั้นคือ สุสานของจักรพรรดิ์หมิงเฉิงจู่” คุณโจวเดินไปชี้มือให้ดูแล้วก็สรุปพร้อม
“ลูกทัวร์ครับ กรุณาเดินมารวมกันไว้ให้ดี อย่าให้แตกกลุ่มนะครับเดี๋ยวหลงกันได้ง่ายๆ กรุณาเดินไปตามถนนที่เขาเดินกันเหมือนสะพานนั่นแหละ เห็นไหมครับ มีคนติดขัดเหมือนรถยนต์ในกรุงเทพฯ เลย ประเดี๋ยวจะเข้าอุโมงค์สุสานแล้ว”
พวกเรายืนรอการขยับที่ละนิดๆ ซึ่งช้ามาก ช้าพอๆ กับรถติดในกรุงเทพเลย นี่ถ้าอาอี๊ทนได้ก็สุดยอด แต่เผอิญต้องลงบันไดไปอีกหลายขั้นในอุโมงค์ อาอี๊ก็เลยเดินชมแต่ภายนอกสุสานและเครื่องทรงต่างๆ ในพิพิธภัณฑ์
“ส่วนสุสานที่แปลกประหลาดและพิสดารที่สุดคือ สุสานที่เป็นพระราชวังใต้ดิน เรียกว่า สุสานติ้งหลิง เป็นสุสานของจักรพรรดิ หมิงเสินจง หรือจักรพรรดิว่านลี่ ที่ทรงครองราชย์ระหว่าง ค.ศ. 1573-1620 สุสานนี้แปลกอีกอย่างคือ แทนที่สัญลักษณ์ การตกแต่งเป็นมังกร 2 ตัว ล้อมรอบไข่มุกเหมือนสุสานอื่นๆ แต่มีเพียงมังกรตัวเดียว หงส์ตัวเดียว สุสานนี้ค้นพบโดยบังเอิญที่นักโบราณคดีไปพบหินปิดประตูทางเข้าอุโมงค์สุสานเข้า ต้องพังประตูหินอ่อนที่หนักบานละ 4 ตัน กลไกประตูทำให้เปิดจากภายนอกไม่ได้ ต้องพังเข้าไป มีกลไกซ่อน อีกอย่างคือ เป็นก้อนหินวางไว้ในรอยบากตื้นๆ ตรงธรณีประตูซึ่งจะเอียงขวางประตูเมื่อปิดจากข้างนอกทันที เห็นไหนครับภูมิปัญญาทางสถาปัตยกรรมจีนโบราณ ไม่แพ้อียิปย์นะครับ"
คุณโจวส่งเสียงดังแข่งกับเสียงนักท่องเที่ยวอื่นๆ อย่างน่าสงสาร
“ระวังกระเป๋าเงิน ของมีค่าด้วยครับ กรุณาอย่าถ่ายรูปนะครับ แล้วก็มีคนเบียดกันแน่นอาจมีมิจฉาชีพแทรกเข้ามาด้วย กำลังจะลงอุโมงค์สุสานแล้วนะครับ”
มีคนเบียดเสียดกันแน่นตรงทางเข้าหน้าทางลงอุโมงค์ แต่ทันใดที่ถึงปากทาง กลิ่นฉุนมากฟุ้งกระจายขึ้นมาจากอุโมงค์ กลิ่นเหม็นมาก อาซ้อที่เดินอยู่ข้างหน้าเป็นลมทันที อาเฮี่ยล้วงไฮเป๊กซ์ส่งให้ดม อาซ้อสูดแรงๆ หลายที จนสดชื่นขึ้น แล้วจึงส่งต่อให้ผมและคณะที่ตามๆ กันมา
“ไม่รู้กลิ่นอะไรนะ รุนแรงเหลือเกิน” อาซ้อปรารถขึ้น
“นั่นซิ ไม่ได้ไฮเป๊กซ์อาซ้อผมก็ท่าจะไม่ไหวเหมือนกัน แหม เรื่องนี้คุณโจวไม่ยักเตือนนะจะได้เตรียมพร้อม” ผมบ่นต่อ
ในใจคิดว่าอาจจะเป็นกลิ่นสางสพที่หมักเอาไว้หลายร้อยปี หลายพันปี ก็ได้ แต่คิดอีกที สุสานนี้ก็ขุดค้นมานานแล้ว กลิ่นก็น่าจะจางไปแล้ว คิดอีกทีแค่ลมปากและลมหายใจของคนที่อัดกันลงไปหลายร้อยคนนั้นก็ส่งกลิ่นพอแรงแล้ว กลิ่นไม่พึงปรารถนาเสียด้วย ถ้ายิ่งรวมกับกลิ่นตัวด้วย แน่นอนเลย แทบสลบเหมือด
“ถ้าทุกคนที่เข้าไปในสุสานใต้ดินผายลมแค่ครึ่งเดียวก็คงจะเกิดก๊าซไข่เน่ามากพอที่จะเป็นลมเหมือนกัน” ผมคิดในใจสนุกๆ
พอลงไปถึงห้องใต้ดินหรือพระราชวังใต้ดิน หรือสุสานใต้ดินคุณโจวพูดขึ้นด้วยเสียงที่ดังเต็มที่
“ภายในสุสานใต้ดินมีห้อง 5 ห้อง 2 ห้องแรกว่างเปล่า ห้องที่ 3 มีรูปห้องป่องตรงกลางเหมือนรูปถังเบียร์ ยาว
“คุณโจวครับ นั่นมีบัลลังก์อีกที่นี่ของใครครับ” มีคนถามด้วยความสงสัย
“บัลลังก์มเหสีอีกองค์หนึ่ง” มีเสียงหัวเราะและฮือด้วยความสนใจ พอฟังอย่างนี้แล้วผมหายสงสัยเลยว่าทำไมบรรดาอาแปะ(ลุง) ของผมจึงมีภรรยากันทีละหลายๆ คนนัก
“ในห้องโถงใหญ่ห้องที่ 5 มีหีบพระศพจำลองของจักรพรรดิว่านลี่และมเหสีทั้งหลายวางไว้ นักโบราณคดีพบว่ามีพระบรมศพ 3 องค์ มีของมีค่ามากมายในหีบ เช่น หยก 12 ก้อน วางไว้ข้างพระศพโดยเชื่อกันว่าจะทำให้ไม่เน่าเปื่อย”
กว่าจะออกจากอุโมงค์ก็เหนื่อยอ่อน แต่ก็ประทับใจความยิ่งใหญ่ ทุกอย่างก่อสร้างด้วยหินอ่อนก้อนใหญ่ๆ ในช่วงสมัยนั้นๆ เขาทำกันได้อย่างไร เป็นภูมิปัญญาจีนโบราณอีกเรื่องหนึ่งที่น่าทึ่งไม่น้อย สถาปัตยกรรมที่เห็นมาหลายแห่งล้วนอลังการ สวยงาม และบอกถึงเรื่องราวต่างๆ ในแผ่นดินอันกว้างใหญ่ไพศาลได้ไม่น้อย แม้แต่สุสานเหล่านั้นจะสร้างด้วยหลักความเชื่อว่าจะยั่งยืนก้าวหน้า ก็ยังมีสัจธรรมที่ชี้ชัดว่า แท้จริงในโลกล้วนอนิจจัง อะไรที่ว่าแน่นอน นั่นแหละคือความไม่แน่นอน การผลัดเปลี่ยนราชวงศ์จึงเป็นเครื่องหมายที่บอกว่า กรรมคือการกระทำครับ