http://www.thongthailand.com
  สร้างเว็บไซต์Engine by iGetWeb.com 
 หน้าแรก  เว็บบอร์ด  บทความ  รวมรูปภาพ  ติดต่อเรา  ข่าวสาร
ค้นหา  ประเภทการค้นหา   Cart รายการสั่งซื้อ (0) 
สถิติ
เปิดเว็บไซต์ 15/03/2009
ปรับปรุง 13/03/2024
สถิติผู้เข้าชม13,957,276
Page Views16,263,584
« March 2024»
SMTWTFS
     12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31      
ท่องเที่ยวทั่วไทยไปทั่วโลก
ศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี วิถีชีวิต และความเชื่อ
รีวิว ร้านอาหาร โรงแรม รีสอร์ทและสปา
  foo&bed
ธรรมชาติ,สัตว์ป่าและพันธุ์พืช...มีคุณ(nature)
บทบรรณาธิการ สกู๊ฟพิเศษ และเรื่องเล่า
ข่าวสาร
http://www.thongthailand.com/index.php?mo=3&art=42365202
 

น้ำตาต้นยาง โดย เอื้อยนาง

น้ำตาต้นยาง โดย เอื้อยนาง

 

สารคดีสำหรับเยาวชน

 เล่าโดย 

ยายนาง

 

น้ำตาต้นยาง

 

                 หมู่บ้านเล็ก ๆ ที่มีบ้านเรือนปลูกรวมกันเป็นกลุ่ม  ตั้งอยู่บนเนินดินนั้น  ถูกโอบไว้ด้วยทุ่งข้าว  มองไกล ๆ ดูเหมือนเกาะกลางทะเลสีเขียว  ทิวต้นข้าวเอนพลิ้วเหมือนระลอกคลื่น  มีลำธารชื่อ หนองส่องแมว  เป็นเส้นสีขาววับแวมคดโค้งอยู่ทางทิศตะวันออก  อ้อมโค้งไปทางทิศเหนือ ผืนทุ่งสีเขียวรุกล้ำแผ่กว้างเข้าไปจรดชายป่า  ต้นไม้ใหญ่ยืนต้นกระจัดกระจายอยู่ในทุ่งข้าว มีทั้งต้นหว้า  ตะแบก  เหียง  ประดู่  เต็ง  รัง  และต้นยาง(นา)

                ต้นไม้เหล่านี้แม้จะมีอยู่มากมายกระจัดกระจายอยู่ทั่วไปในทุ่งข้าว  แต่มันต่างก็ยืนอยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย  และส่วนมากที่มันยังคงเหลืออยู่เพราะบังเอิญมันเกิดอยู่ตรงคันนาพอดี  ไม่ไปเกะกะเนื้อที่ที่จะปลูกข้าว  เพื่อน ๆ ของมัน และบริวารที่เป็นต้นไม้ ต้นเล็ก ต้นน้อย ที่เคยอยู่กันหนาแน่นตอนผืนดินนี้เป็นป่าใหญ่หายหน้าไปหมดแล้ว ตั้งแต่ผืนป่าถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นผืนนา  สองแขนกับหนึ่งขวานในมือมนุษย์ช่างสร้างผลงานได้ยิ่งใหญ่น่าอัศจรรย์

                ต้นข้าวจึงเป็นเสมือนต้นพืชที่มาขับไล่ทำลายต้นไม้อื่น ๆ ที่กีดขวางทางของมัน ให้ตายไปหมดสิ้น  ที่เหลืออยู่ก็คือพวกที่หลีกทางให้มันเท่านั้น

                เพราะข้าวสำคัญที่สุดนะซี เขาเกิดมาเพื่อเลี้ยงคน

                แม่ใหญ่ตอบเสียงสูง ๆ เมื่อยายนางประท้วงแทนต้นไม้อื่น ๆ

                “เมื่อก่อนตั้งแต่ปูสังกะสาย่าสังกะสี เมล็ดข้าวใหญ่เท่าลูกมะพร้าวแน๊ะ

                แม่ใหญ่เริ่มตำนาน  ขณะนั้นเรากำลังเดินตามกัน   เดินวกวนไปตามคันนาท่ามกลางทะเลต้นข้าวท้ายหมู่บ้าน    มุ่งหน้าไปหาต้นยางใหญ่ที่ปลายนา    เสียงกบกระโดดลงน้ำจ๋อมแจ๋มยามเราย่ำเหยียบบน  กอหญ้า  ยายนางรีบเดินให้ทัน   และเร่งเร้าให้แม่ใหญ่เล่าตำนานต่อ  อยากรู้ขึ้นมาทันทีว่าทำไมทุกวันนี้เมล็ดข้าวจึงเหลือเท่านี้  แม่ใหญ่จึงเล่าว่า 

                นานมาแล้วตั้งแต่สมัยปู่สังกะสาย่าสังกะสี (คงรุ่น ๆ เดียวกับอาดัมและอีฟ)  มนุษย์ไม่ต้องลำบากปลูกข้าวมากมาย ยากเย็นอย่างทุกวันนี้หรอก  เพราะข้าวแต่ละเมล็ดใหญ่โตเท่าลูกมะพร้าว  เมล็ดเดียวก็อิ่มหมีพีมันกันหลาย ๆ วัน หลาย ๆ คน 

                  อยู่มาวันหนึ่ง    มีนางแม่ม่ายคนหนึ่ง   ซึ่งผัวของนางตายไปหลายปีแล้ว    ไม่มีใครช่วยทำงานทำนา   จึงยากจนมาก ข้าวปลาอาหารก็ขาดแคลน  นางจึงอธิษฐานขอข้าวจากพระแม่โพสพ  ขอให้มีข้าวกินเหลือเฟือไม่ต้องเที่ยวขอชาวบ้านเขากินอย่างที่เป็นอยู่ 

                  พอจบคำอธิษฐานปรากฏว่ามีเมล็ดข้าวมากมายหลั่งไหลเข้ามาในบ้านของนางแม่ม่าย  ไหลมาเทมาจนเต็ม  จนล้น  ข้าวก็ไม่หยุดไหล  ไม่มีที่ทางจะเดินจะนอน  นางแม่ม่ายจึงตะโกนไล่ให้ข้าวไหลออกไปจากบ้านของนางพลางฉวยได้ไม้คานมาตีกระหน่ำจนเมล็ดข้าวแตกแตนกลายเป็นเมล็ดเล็ก ๆ ดังที่เราเห็นทุกวันนี้


                          

                   “ข้าวนั้นเกิดมาเลี้ยงคน  คนต้องเห็นคุณข้าว

                    แม่ใหญ่สรุปกราดสายตามองนาข้าวสีเขียวอย่างรู้สึกสำนึกบุญคุณ

                    “แต่ต้นข้าวก็มาไล่ที่ต้นไม้อื่น ๆ ไปหมด

                     อี่นางนี่มักคิดอะหยังแปลก ๆ

                      แม่ใหญ่พึมพำพลางชี้มือให้ดูจุดหมายปลายทาง  คือต้นไม้ใหญ่ที่ยืนตระหง่านอยู่ข้างหน้า  นั่นคือต้นยางนา

                                                         
                                                                            ต้นยางนาสูงใหญ่


                                   
               
ยางนา หรือต้นยางนี้เป็นต้นไม้ใหญ่กว่าใครทั้งปวงในแถบถิ่นนี้  เป็นเหมือนราชาแห่งต้นไม้  ยืนต้นสูงสง่าเสียดฟ้า   ส่ายใบอ่อนไหวตามแรงลม  ในยามแล้งผลที่มีปีกสองข้างสีแดงสดหล่นลิ่วลง  หมุนคว้าง  ๆ เหมือนถูกปั่นจากมือนางฟ้าก่อนปล่อยร่วงหล่น  เป็นของขวัญอันสวยงามให้แก่มวลมนุษย์ และสัตว์โลก  เราเรียกมันว่า
หมากปิ่นลม

                โคนต้นของต้นยางแผ่กว้างครอบคันนาไว้   มองเหมือนไม้คานสีเขียวสอดทะลุกลางลำต้นสีหม่น ๆ    สูงขึ้นไปจากพื้นประมาณ ๑ เมตรมีโพรงสีดำรูปวงกลมกลวงอยู่กลางลำต้นมองไกล ๆ เหมือนลูกตาของยักษ์ที่เบิกโพลงตลอดเวลา ไม่เคยหลับนอน

               ยอดยางนั้นอยู่สูงลิบลิ่ว  สูงจนไม่มีใครสามารถปีนขึ้นไปเก็บ  หรือสอยเอายอดยางลงมาได้ 

               แกงช้างใส่ยอดยาง    จึงเป็นสำนวนประชดประชันสำหรับคนที่ใฝ่ฝันถึงอะไร ๆ ที่เกินตัว เกินความสามารถ  เพราะช้างตัวใหญ่  หามาได้ยาก  พอ ๆ กับยอดยาง  สาว ๆ สวย ๆ บางคนอยู่สูงเกินเอื้อม  จีบยาก  ผู้บ่าวเป่าแคนมาเกี้ยวพาเสียงแหล่น แจ่น ๆ จนคอโป่งพองเธอก็ไม่ชายตาแล  ผู้บ่าวทั้งหลายก็จะยกสำนวน  แกงช้างใส่ยอดยางยังจะหาง่ายกว่า  มาเปรียบเปรย

                แต่ที่จริงแล้วไม่เคยเห็นใครเก็บยอดยางมาแกงกินหรอก  ที่กินได้เห็นมีเพียงกลีบดอกเล็ก ๆ สีม่วงอมชมพู  ลักษณะบิดเป็นเกลียวของมันที่ปลิวร่วงหล่นลงมาเท่านั้น  ที่เราเก็บมาปรุงรสส้มตำลูกหวายอ่อน   เพราะลูกหวายอ่อนมีรสฝาด  ส่วนกลีบดอกยางมีรสเปรี้ยว  ปรุงผสมเป็นส้มตำแล้วจึงได้รสกลมกล่อม พอดี   ส้มตำสูตรนี้ดีมากสำหรับผู้เป็นโรคกระเพาะ ธาตุพิการอาหารไม่ย่อย(แม่แพงบอก)

 

                แม่ใหญ่ใช้ด้ามเสียมคอนครุเดินนำหน้ามุ่งหน้าสู่ต้นยาง (Dipterocarpus   alatus Roxb. ex G.Don  วงศ์ DIPTEROCARPACEAE)   ยายนางแบกกิ่งไม้เหียงกิ่งเล็กๆ ใบมีขน สากคาย  และหนา  เดินตามหลัง  มาถึงต้นยางที่ยืนต้นตระหง่าน  สูงจนต้องแหงนคอมอง  โพรงรูปกลมสีดำที่เหมือนดวงตายักษ์ลืมตาโพลงอยู่ตลอดเวลานั้นมองเห็นเป็นเพียงโพรงขนาดใหญ่เจาะลงไปในเนื้อของต้นยาง  


                                            
                                                         ลูกยางร่อนลงด้วยปีกหมุน อายุ 5-7 วันก็ตาย


               
แม่ใหญ่วางครุ วางเสียม เด็ดเอาใบเหียงจากกิ่งที่ยายนางแบกมา  ทำเป็นกระทงตักน้ำข้น ๆ สีน้ำตาลคล้ำออกจากลูกนัยน์ตายักษ์นั้นมาเทใส่ในครุ

               นี่บ๊อน้ำมันยาง

                แม่นหละ

                ไผมาขุดควักต้นไม้ ทำหลุมนี้ไว้ ให้ตักเอาน้ำมัน ที่ไหลออกมา

                คน   เสียงแม่ใหญ่ตอบชัดเจน   มองหน้าหลานขี้สงสัยแล้วชี้มือไปในกลุ่มต้นยางต้นอื่น ๆ

               “ต้นนี้พ่อใหญ่  ต้นโน้นตาคำ  ต้นนู้นลุงจารย์...  

                 สรุปว่าชาวบ้านทั้งหลายต่างคนต่างทำโพรงไว้บนต้นยางที่ยืนต้นเงียบเฉยเหมือนไม่เดือดร้อน   ตักเอาน้ำมันยางออกมาหมดแล้วแม่ใหญ่ก็พนมมือขึ้นจรดหน้าผาก  ปากบ่นพึมพำขอโทษขออภัยในการที่ตัวมาล่วงล้ำก้ำเกิน  และขอบคุณต้นไม้ที่ให้น้ำมันยาง  เสร็จแล้วใช้ไม้ขีดมาต่อยไฟจุดให้เปลวลุกวาบ ๆ อยู่ในโพรง  น้ำมันในตัวของต้นยางเป็นเชื้อไฟให้ลุกไหม้ขึ้นอย่างง่ายดาย

                ขอโทษไผล่ะแม่ใหญ่

                ต้นไม้ใหญ่ก็ต้องมีผี  มีเจ้าของ  อย่าถามมาก

                ยายนางจึงปิดปากสนิท  มองต้นยางอย่างครุ่นคิด  ถ้ามีผีจริง  ผีคงจะร้อน  แต่ไม่สิ ผีไม่รู้จักร้อน  ต้นยางนั่นแหละจะร้อนมากกว่าปล่อยให้ไฟลุกไหม้อยู่ชั่วครู่  แม่ใหญ่ก็ใช้กิ่งไม้ใบหนาที่ให้หลานหอบแบกมาเป็นประโยชน์อีกที  คราวนี้ใช้ฟาดให้ไฟดับ  ก่อนชวนหลาน  แล้วคอนครุขึ้นบ่าเดินนำหน้ามุ่งไปต้นยางต้นต่อไป

                               


               
ยายนางยังข้องใจว่าจุดไฟทำไมหนอ 

                ก็จุดให้มันร้อน  น้ำยางจะได้ไหลออกมาอีก  พรุ่งนี้มีคนอื่นมาตักน้ำมันยางอย่างพวกเฮา  เพิ่นจะได้ไม่ต้องมาเสียเที่ยวเปล่า ๆ ไง

                น้ำมันยางนี้นอกจากจะใช้ผสมกับเศษไม้ผุทำกระบอง หรือขี้ไต้แล้ว  ยังใช้สผมกับชันจากต้นเต็ง  ใช้ยา(ทาเคลือบผิว)ครุกันน้ำรั่วซึมอีกด้วย

                ครุ  คือภาชนะที่สานจากตอกไม้ไผ่ลายละเอียดยิบ  ละเอียดและแน่นกว่าสานตะกร้ามาก  เป็นรูปกลม หรือรี มีตีนสี่ตีนสำหรับตั้ง  มีงวงทำด้วยไม้ท่อนเล็ก ๆ แต่เหนียวสำหรับหิ้ว หรือหาบ คอน  ยาด้วยชันป่นผสมน้ำมันยาง  มีประโยชน์มากในการบรรจุของเหลว  เพราะสมัยนั้นยังไม่มีภาชนะ พลาสติคใช้แพร่หลายเหมือนปัจจุบัน

               ต้นยางมันร้องไห้น่ะแม่ใหญ่

                คิดอะหยังแปลก ๆ อีกแล้ว เดินเร็วเถอะยังต้องไปอีกตั้งหลายต้น

                และต้นยางทุกต้นก็มีตาสีดำ  เมื่อถูกไฟลนน้ำตาก็จะไหลออกมา  เป็นน้ำตาที่ให้แสงสว่างแก่มวลมนุษย์ในยามค่ำคืน

               สูงเด่น โดดเดี่ยว

              เปลี่ยวเปล่าไหมหนอ

               ผู้คนเขาขอ

                ขอเพียงน้ำตา  เจ้านะต้นยาง

            ขากลับครุหนักอึ้ง  แม่ใหญ่คอนหลังแอ่น  ยายนางมองแล้วแสนสงสาร  จึงเอ่ยปากจะช่วยแต่แม่ใหญ่บอกว่า

                บ่ได้ดอก  ถ้าอี่นางเดินสะดุดกอหญ้าพาครุล้มลงไป  น้ำมันยางก็คงหกหมด  เสียดายแย่  กว่าจะหาได้มันยากมากแม่นบ๊อ

               ความเป็นเด็กเชื่องช้างุ่มง่าม ซุ่มซ่าม ชนโน่นชนนี่  และพลาดพลั้งหกล้มบ่อย ๆ ของหลานสาวคนนี้แม่ใหญ่รู้ดีกว่าใครทั้งหมด  กระนั้นตัวก็ยังโอดครวญว่า

ก็ไหนว่าจะให้มาช่วย

                ช่วยแบกกิ่งไม้เหียงมาคอยดับไฟไง

                เป็นงานที่ไม่สนุก  เอาเสียเลย  สงสารต้นยางแล้วยังสงสารแม่ใหญ่  แต่ทำอะไรช่วยใครไม่ได้สักอย่าง

                                                    YYYY

(จากหนังสือ   เมื่อยายอายุเท่าหนู” รางวัลวรรณกรรมเยาวชนแว่นแก้ว 2551)                 

 

Tags : Short&long Story

 
 หน้าแรก  บทความ  ข่าวสาร  รวมรูปภาพ  ติดต่อเรา  เว็บบอร์ด

อัตราค่าโฆษณา    

แบบเนอร์ กลางหน้า.  ขนาด 800 x 400-600 พิกเซล เห็นหน้าแรก  5,000 บาท/เดือน

แบนเนอร์ เหนือโลโก้เว็บไซต์ ขนาด 1000 x 80 พิกเซล เห็นทุกหน้า 4,000 บาท/เดือน

 แบนเนอร์ ซ้าย  ขนาด 240 x 120-160 พิกเซล เห็นทุกหน้า 3,000 บาท/เดือน

ทำข่าวแถลง รีวิวโรงแรมและร้านอาหาร  เขียนสารคดี เชิญได้โดยตรงที่ โทร.081-9416364

ติดต่อ 135 ม.12 ต.กำแพงแสน อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม 73140

 
view