สารคดีสำหรับเยาวชน
เล่าโดย
“ยายนาง”
น้ำตาต้นยาง
หมู่บ้านเล็ก ๆ ที่มีบ้านเรือนปลูกรวมกันเป็นกลุ่ม ตั้งอยู่บนเนินดินนั้น ถูกโอบไว้ด้วยทุ่งข้าว มองไกล ๆ ดูเหมือนเกาะกลางทะเลสีเขียว ทิวต้นข้าวเอนพลิ้วเหมือนระลอกคลื่น มีลำธารชื่อ หนองส่องแมว เป็นเส้นสีขาววับแวมคดโค้งอยู่ทางทิศตะวันออก อ้อมโค้งไปทางทิศเหนือ ผืนทุ่งสีเขียวรุกล้ำแผ่กว้างเข้าไปจรดชายป่า ต้นไม้ใหญ่ยืนต้นกระจัดกระจายอยู่ในทุ่งข้าว มีทั้งต้นหว้า ตะแบก เหียง ประดู่ เต็ง รัง และต้นยาง(นา)
ต้นไม้เหล่านี้แม้จะมีอยู่มากมายกระจัดกระจายอยู่ทั่วไปในทุ่งข้าว แต่มันต่างก็ยืนอยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย และส่วนมากที่มันยังคงเหลืออยู่เพราะบังเอิญมันเกิดอยู่ตรงคันนาพอดี ไม่ไปเกะกะเนื้อที่ที่จะปลูกข้าว เพื่อน ๆ ของมัน และบริวารที่เป็นต้นไม้ ต้นเล็ก ต้นน้อย ที่เคยอยู่กันหนาแน่นตอนผืนดินนี้เป็นป่าใหญ่หายหน้าไปหมดแล้ว ตั้งแต่ผืนป่าถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นผืนนา สองแขนกับหนึ่งขวานในมือมนุษย์ช่างสร้างผลงานได้ยิ่งใหญ่น่าอัศจรรย์
ต้นข้าวจึงเป็นเสมือนต้นพืชที่มาขับไล่ทำลายต้นไม้อื่น ๆ ที่กีดขวางทางของมัน ให้ตายไปหมดสิ้น ที่เหลืออยู่ก็คือพวกที่หลีกทางให้มันเท่านั้น
“เพราะข้าวสำคัญที่สุดนะซี เขาเกิดมาเพื่อเลี้ยงคน”
แม่ใหญ่ตอบเสียงสูง ๆ เมื่อยายนางประท้วงแทนต้นไม้อื่น ๆ
“เมื่อก่อนตั้งแต่ปูสังกะสาย่าสังกะสี เมล็ดข้าวใหญ่เท่าลูกมะพร้าวแน๊ะ”
แม่ใหญ่เริ่มตำนาน ขณะนั้นเรากำลังเดินตามกัน เดินวกวนไปตามคันนาท่ามกลางทะเลต้นข้าวท้ายหมู่บ้าน มุ่งหน้าไปหาต้นยางใหญ่ที่ปลายนา เสียงกบกระโดดลงน้ำจ๋อมแจ๋มยามเราย่ำเหยียบบน กอหญ้า ยายนางรีบเดินให้ทัน และเร่งเร้าให้แม่ใหญ่เล่าตำนานต่อ อยากรู้ขึ้นมาทันทีว่าทำไมทุกวันนี้เมล็ดข้าวจึงเหลือเท่านี้ แม่ใหญ่จึงเล่าว่า
นานมาแล้วตั้งแต่สมัยปู่สังกะสาย่าสังกะสี (คงรุ่น ๆ เดียวกับอาดัมและอีฟ) มนุษย์ไม่ต้องลำบากปลูกข้าวมากมาย ยากเย็นอย่างทุกวันนี้หรอก เพราะข้าวแต่ละเมล็ดใหญ่โตเท่าลูกมะพร้าว เมล็ดเดียวก็อิ่มหมีพีมันกันหลาย ๆ วัน หลาย ๆ คน
อยู่มาวันหนึ่ง มีนางแม่ม่ายคนหนึ่ง ซึ่งผัวของนางตายไปหลายปีแล้ว ไม่มีใครช่วยทำงานทำนา จึงยากจนมาก ข้าวปลาอาหารก็ขาดแคลน นางจึงอธิษฐานขอข้าวจากพระแม่โพสพ ขอให้มีข้าวกินเหลือเฟือไม่ต้องเที่ยวขอชาวบ้านเขากินอย่างที่เป็นอยู่
พอจบคำอธิษฐานปรากฏว่ามีเมล็ดข้าวมากมายหลั่งไหลเข้ามาในบ้านของนางแม่ม่าย ไหลมาเทมาจนเต็ม จนล้น ข้าวก็ไม่หยุดไหล ไม่มีที่ทางจะเดินจะนอน นางแม่ม่ายจึงตะโกนไล่ให้ข้าวไหลออกไปจากบ้านของนางพลางฉวยได้ไม้คานมาตีกระหน่ำจนเมล็ดข้าวแตกแตนกลายเป็นเมล็ดเล็ก ๆ ดังที่เราเห็นทุกวันนี้
“ข้าวนั้นเกิดมาเลี้ยงคน คนต้องเห็นคุณข้าว”
แม่ใหญ่สรุปกราดสายตามองนาข้าวสีเขียวอย่างรู้สึกสำนึกบุญคุณ
“แต่ต้นข้าวก็มาไล่ที่ต้นไม้อื่น ๆ ไปหมด”
“อี่นางนี่มักคิดอะหยังแปลก ๆ”
แม่ใหญ่พึมพำพลางชี้มือให้ดูจุดหมายปลายทาง คือต้นไม้ใหญ่ที่ยืนตระหง่านอยู่ข้างหน้า นั่นคือต้นยางนา
ต้นยางนาสูงใหญ่
ยางนา หรือต้นยางนี้เป็นต้นไม้ใหญ่กว่าใครทั้งปวงในแถบถิ่นนี้ เป็นเหมือนราชาแห่งต้นไม้ ยืนต้นสูงสง่าเสียดฟ้า ส่ายใบอ่อนไหวตามแรงลม ในยามแล้งผลที่มีปีกสองข้างสีแดงสดหล่นลิ่วลง หมุนคว้าง ๆ เหมือนถูกปั่นจากมือนางฟ้าก่อนปล่อยร่วงหล่น เป็นของขวัญอันสวยงามให้แก่มวลมนุษย์ และสัตว์โลก เราเรียกมันว่า “หมากปิ่นลม”
โคนต้นของต้นยางแผ่กว้างครอบคันนาไว้ มองเหมือนไม้คานสีเขียวสอดทะลุกลางลำต้นสีหม่น ๆ สูงขึ้นไปจากพื้นประมาณ ๑ เมตรมีโพรงสีดำรูปวงกลมกลวงอยู่กลางลำต้นมองไกล ๆ เหมือนลูกตาของยักษ์ที่เบิกโพลงตลอดเวลา ไม่เคยหลับนอน
ยอดยางนั้นอยู่สูงลิบลิ่ว สูงจนไม่มีใครสามารถปีนขึ้นไปเก็บ หรือสอยเอายอดยางลงมาได้
“แกงช้างใส่ยอดยาง” จึงเป็นสำนวนประชดประชันสำหรับคนที่ใฝ่ฝันถึงอะไร ๆ ที่เกินตัว เกินความสามารถ เพราะช้างตัวใหญ่ หามาได้ยาก พอ ๆ กับยอดยาง สาว ๆ สวย ๆ บางคนอยู่สูงเกินเอื้อม จีบยาก ผู้บ่าวเป่าแคนมาเกี้ยวพาเสียงแหล่น แจ่น ๆ จนคอโป่งพองเธอก็ไม่ชายตาแล ผู้บ่าวทั้งหลายก็จะยกสำนวน “แกงช้างใส่ยอดยางยังจะหาง่ายกว่า” มาเปรียบเปรย
แต่ที่จริงแล้วไม่เคยเห็นใครเก็บยอดยางมาแกงกินหรอก ที่กินได้เห็นมีเพียงกลีบดอกเล็ก ๆ สีม่วงอมชมพู ลักษณะบิดเป็นเกลียวของมันที่ปลิวร่วงหล่นลงมาเท่านั้น ที่เราเก็บมาปรุงรสส้มตำลูกหวายอ่อน เพราะลูกหวายอ่อนมีรสฝาด ส่วนกลีบดอกยางมีรสเปรี้ยว ปรุงผสมเป็นส้มตำแล้วจึงได้รสกลมกล่อม พอดี ส้มตำสูตรนี้ดีมากสำหรับผู้เป็นโรคกระเพาะ ธาตุพิการอาหารไม่ย่อย(แม่แพงบอก)
แม่ใหญ่ใช้ด้ามเสียมคอนครุเดินนำหน้ามุ่งหน้าสู่ต้นยาง (Dipterocarpus alatus Roxb. ex G.Don วงศ์ DIPTEROCARPACEAE) ยายนางแบกกิ่งไม้เหียงกิ่งเล็กๆ ใบมีขน สากคาย และหนา เดินตามหลัง มาถึงต้นยางที่ยืนต้นตระหง่าน สูงจนต้องแหงนคอมอง โพรงรูปกลมสีดำที่เหมือนดวงตายักษ์ลืมตาโพลงอยู่ตลอดเวลานั้นมองเห็นเป็นเพียงโพรงขนาดใหญ่เจาะลงไปในเนื้อของต้นยาง
ลูกยางร่อนลงด้วยปีกหมุน อายุ 5-7 วันก็ตาย
แม่ใหญ่วางครุ วางเสียม เด็ดเอาใบเหียงจากกิ่งที่ยายนางแบกมา ทำเป็นกระทงตักน้ำข้น ๆ สีน้ำตาลคล้ำออกจากลูกนัยน์ตายักษ์นั้นมาเทใส่ในครุ
“นี่บ๊อน้ำมันยาง”
“แม่นหละ”
“ไผมาขุดควักต้นไม้ ทำหลุมนี้ไว้ ให้ตักเอาน้ำมัน ที่ไหลออกมา”
“คน” เสียงแม่ใหญ่ตอบชัดเจน มองหน้าหลานขี้สงสัยแล้วชี้มือไปในกลุ่มต้นยางต้นอื่น ๆ
“ต้นนี้พ่อใหญ่ ต้นโน้นตาคำ ต้นนู้นลุงจารย์... ”
สรุปว่าชาวบ้านทั้งหลายต่างคนต่างทำโพรงไว้บนต้นยางที่ยืนต้นเงียบเฉยเหมือนไม่เดือดร้อน ตักเอาน้ำมันยางออกมาหมดแล้วแม่ใหญ่ก็พนมมือขึ้นจรดหน้าผาก ปากบ่นพึมพำขอโทษขออภัยในการที่ตัวมาล่วงล้ำก้ำเกิน และขอบคุณต้นไม้ที่ให้น้ำมันยาง เสร็จแล้วใช้ไม้ขีดมาต่อยไฟจุดให้เปลวลุกวาบ ๆ อยู่ในโพรง น้ำมันในตัวของต้นยางเป็นเชื้อไฟให้ลุกไหม้ขึ้นอย่างง่ายดาย
“ขอโทษไผล่ะแม่ใหญ่”
“ต้นไม้ใหญ่ก็ต้องมีผี มีเจ้าของ อย่าถามมาก”
ยายนางจึงปิดปากสนิท มองต้นยางอย่างครุ่นคิด ถ้ามีผีจริง ผีคงจะร้อน แต่ไม่สิ ผีไม่รู้จักร้อน ต้นยางนั่นแหละจะร้อนมากกว่าปล่อยให้ไฟลุกไหม้อยู่ชั่วครู่ แม่ใหญ่ก็ใช้กิ่งไม้ใบหนาที่ให้หลานหอบแบกมาเป็นประโยชน์อีกที คราวนี้ใช้ฟาดให้ไฟดับ ก่อนชวนหลาน แล้วคอนครุขึ้นบ่าเดินนำหน้ามุ่งไปต้นยางต้นต่อไป
ยายนางยังข้องใจว่าจุดไฟทำไมหนอ
“ก็จุดให้มันร้อน น้ำยางจะได้ไหลออกมาอีก พรุ่งนี้มีคนอื่นมาตักน้ำมันยางอย่างพวกเฮา เพิ่นจะได้ไม่ต้องมาเสียเที่ยวเปล่า ๆ ไง”
น้ำมันยางนี้นอกจากจะใช้ผสมกับเศษไม้ผุทำกระบอง หรือขี้ไต้แล้ว ยังใช้สผมกับชันจากต้นเต็ง ใช้ยา(ทาเคลือบผิว)ครุกันน้ำรั่วซึมอีกด้วย
ครุ คือภาชนะที่สานจากตอกไม้ไผ่ลายละเอียดยิบ ละเอียดและแน่นกว่าสานตะกร้ามาก เป็นรูปกลม หรือรี มีตีนสี่ตีนสำหรับตั้ง มีงวงทำด้วยไม้ท่อนเล็ก ๆ แต่เหนียวสำหรับหิ้ว หรือหาบ คอน ยาด้วยชันป่นผสมน้ำมันยาง มีประโยชน์มากในการบรรจุของเหลว เพราะสมัยนั้นยังไม่มีภาชนะ พลาสติคใช้แพร่หลายเหมือนปัจจุบัน
“ต้นยางมันร้องไห้น่ะแม่ใหญ่”
“คิดอะหยังแปลก ๆ อีกแล้ว เดินเร็วเถอะยังต้องไปอีกตั้งหลายต้น”
และต้นยางทุกต้นก็มีตาสีดำ เมื่อถูกไฟลนน้ำตาก็จะไหลออกมา เป็นน้ำตาที่ให้แสงสว่างแก่มวลมนุษย์ในยามค่ำคืน
สูงเด่น โดดเดี่ยว
เปลี่ยวเปล่าไหมหนอ
ผู้คนเขาขอ
ขอเพียงน้ำตา เจ้านะต้นยาง
ขากลับครุหนักอึ้ง แม่ใหญ่คอนหลังแอ่น ยายนางมองแล้วแสนสงสาร จึงเอ่ยปากจะช่วยแต่แม่ใหญ่บอกว่า
“บ่ได้ดอก ถ้าอี่นางเดินสะดุดกอหญ้าพาครุล้มลงไป น้ำมันยางก็คงหกหมด เสียดายแย่ กว่าจะหาได้มันยากมากแม่นบ๊อ”
ความเป็นเด็กเชื่องช้างุ่มง่าม ซุ่มซ่าม ชนโน่นชนนี่ และพลาดพลั้งหกล้มบ่อย ๆ ของหลานสาวคนนี้แม่ใหญ่รู้ดีกว่าใครทั้งหมด กระนั้นตัวก็ยังโอดครวญว่า
“ก็ไหนว่าจะให้มาช่วย”
“ช่วยแบกกิ่งไม้เหียงมาคอยดับไฟไง”
เป็นงานที่ไม่สนุก เอาเสียเลย สงสารต้นยางแล้วยังสงสารแม่ใหญ่ แต่ทำอะไรช่วยใครไม่ได้สักอย่าง
YYYY
(จากหนังสือ “เมื่อยายอายุเท่าหนู” รางวัลวรรณกรรมเยาวชนแว่นแก้ว 2551)