หลากหลายในจีนน่ารู้
ถ้ากล่าวว่าจะเรียนรู้เรื่องราวของเมืองจีนแล้ว อีกหลายชั่วอายุคนก็ยังตอบไม่ได้ว่าจะสามารถพูดได้หรือไม่ว่า รู้เรื่องเมืองจีนดีที่สุด เพราะว่าเมืองจีนที่ว่านี้มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน นานจนก่อน คริสต์ศักราชหลายพันปี เช่นเดียวกับที่กล่าวกันว่า ใครก็ตามที่อ่านหนังสือสามก๊กจบถึงสามรอบได้ คนๆนั้นคบหาด้วยไม่ได้ เพราะว่าศิลปะการ ชั้นเชิงต่างๆ ในสามก๊กคือสุดยอดตำรากลยุทธหาที่เปรียบมิได้ทีเดียว แท้ที่จริงคนที่อ่านหนังสือสามก๊กจบสามรอบต้องมีความรู้มากๆ นั่นเอง เขาฉลาดล้ำจนตามไม่ทันมากกว่า
“อดีตที่ยิ่งใหญ่ปรากฏเมื่อห้าแสนปีที่ผ่าน มีการขุดค้นพบว่ามนุษย์ปักกิ่งอาศัยอยู่ในถ้ำโจวโซวเตี้ยน ซึ่งอยู่ห่างจากปักกิ่งไปทางตะวันตกเฉียงใต้ราวๆ
“การปกครองแผ่นดินของจีนมีหลายราชวงศ์เริ่มนับกันตั้งแต่ช่วง 2100-1600 ปี ก่อน ค.ศ. ราชวงศ์เซียปกครองแผ่นดินโดยตั้งราชธานีหลักอยู่ที่ หยางเฉิง ปัจจุบันนี้คือ อำเภอเติงเฟิง มณฑลเหอหนาน ต่อมา 1600-1028 ปี ก่อน ค.ศ. ราชวงศ์ซาง ตั้งราชธานีหลักที่ ฟานยี่ ปัจจุบันนี้คือ อำเภอจือหยาง มณฑลชานซี ราชวงศ์นี้มีการย้ายราชธานีมากที่สุด” คุณโจวทำเสียงสูงแบบให้รู้ว่าบ่อยจริงๆ แต่ไม่มีการซักไซ้ไล่เรียงใดๆ ฟังกันเงียบกริบ
“1027-256 ปีก่อน ค.ศ. ราชวงศ์โจว ปกครองแผ่นดินจีนอยู่นานถึง 8 ศตวรรษ มีราชธานีสองซีกคือตะวันตกตั้งอยู่ที่ ซีอาน และยุคตะวันออกตั้งอยู่ที่ ลั่วหยาง จนถึง 222-207 ปีก่อน ค.ศ. ราชวงศ์ฉิน ตั้งราชธานีที่เมืองเสียนหยาง ปัจจุบันนี้คือซีอาน มณฑลชานซี มีจักรพรรดิที่มีชื่อเสียงมากคือจักรพรรดิจิ๋นซีฮ่องเต้ เป็นกษัตริย์พระองค์แรกที่แผ่อำนาจอันไพศาล ทำให้แผ่นดินจีนถูกรวบรวมเป็นหนึ่งเดียว อีกทั้งยังได้เข้าปกครองปักกิ่งด้วย” มีเสียงเหมือนรู้จักจิ๋นซีฮ่องเต้ ก็หนังจีนฮ่องกงเข้าไปฉายบ่อยๆ คุณโจวยิ้มเพราะว่าเรื่องที่เล่าได้รับความสนใจ
“เคยมีสามัญชนคนแรกที่ได้เป็นฮ่องเต้ 202 ปีก่อน ค.ศ. ราชวงศ์ฮั่น เข้าปกครองได้โดยจักรพรรดิฮั่นเกาจู่ กษัตริย์องค์นี้ทำให้ชาวจีนเรียกตนเองว่าเป็นชาวฮั่นตั้งแต่นั้นมา และกลายเป็นชนชาติที่มีประชากรมากที่สุดในโลกสืบมา พอถึงรัชกาลที่ 5 จักรพรรดิฮั่นหวู่ตี้ มาแปลกครับ ทรงใช้ลัทธิหยูของมหาปราชญ์ข่งจื่อ เป็นนโยบายในการบริหารราชการแผ่นดิน และถือว่าเป็นฮ่องเต้องค์แรกที่เปิดเส้นทางสายไหม 119 ปีก่อน ค.ศ.” เสียงฮืออีกเพราะว่าเคยดูสารคดีเรื่องเส้นทางสายไหมในโทรทัศน์
“แหม จะถึงตอนสามก๊กพอดี เห็นทีต้องขอไว้ต่อหลังจากแวะไปชมเครื่องทองแดงที่ผลิตเป็นแจกัน เครื่องใช้อื่นๆ ถือกันว่าเป็นของใช้สำหรับกษัตริย์เท่านั้นที่ใช้ได้ในอดีต ใครจะซื้อไปเป็นของที่ระลึกก็เชิญได้เลย คนจีนถือกันว่าการนำของใช้สำหรับกษัตริย์เข้าบ้านถือเป็นศิริมงคล รายการนี้ก็นอกรายการนำเที่ยวอีกเช่นกัน” คุณโจวพูดโฆษณาเบ็ดเสร็จ รถจอดหน้าตึกทึมๆ ตึกหนึ่ง ทุกคนลงกันจนหมดเช่นเคย แม้แต่อาอี๊ก็อยากไปชื่นชมเครื่องเคลือบทองแดงของจีน
พวกเราเดินผ่ากระบวนการผลิตทองแดงเคลือบสีไปทีละขั้นตอน บางขั้นตอนเคาะกันดังโฉ่งฉั่ง บางขั้นตอนกำลังขัด ลงสี วาดลาย แต่งแต้มสีสัน กว่าจะหมดกระบวนการก็ใช้เวลาในการดูไม่น้อย ล้วนแต่น่าสนใจมาก มองเผินๆเหมือนไม่มีอะไร แต่พอถึงขั้นตอนสุดท้ายกลายเป็นเครื่องเคลือบสีที่สวยเหลือเกิน ยิ่งพอเดินไปถึงร้านจำหน่ายยิ่งพบว่ามีแต่ของน่าสนใจซื้อหาเป็นของที่ระลึกยิ่งนัก
“ผมคิดว่าเครื่องแจกันเหล่านี้เป็นเครื่องเคลือบดินเผานะ เพิ่งรู้วันนี้เองว่าที่แท้เป็นทองแดงเคลือบสี เป็นเครื่องถมที่หลงเข้าใจผิดมา
นานทีเดียว” คุณปรีชาปรารภขึ้น และรู้สึกดีใจที่ได้มาชม
“พ่อ ถ่ายรูปตรงนี้หน่อยค่ะ” เสียงแม่บ้านคนหนึ่งเรียกหาตากล้องผู้สามี
“ถ่ายคู่กับแจกันขนาดใหญ่กว่าคนจริงเลยหรือ” สามีพูดเย้าแบบยิ้มๆ ก็จะไม่ยิ้มได้อย่างไรกัน ในเมื่อทั้งตัวนางแบบและแจกันขนาดเกือบเท่าๆกันทีเดียว หุ่นก็เหมือนกัน ผิดก็แต่นางแบบมีชีวิต แต่ตัวแบบฉากไม่มีชีวิต ถึงอย่างไรก็ดูแล้วว่า สวยดีเหมือนกัน มีคนหันมามองแล้วยิ้มหลายคน แต่ไม่มีใครกล้าแซ่ว
กว่าจะเดินชมเครื่องลายครามเหล่านั้นเสร็จสิ้นกินเวลากว่าชั่วโมง ทุกคนลงรถไปพร้อมกับของมงคลที่กษัตริย์เคยสร้างจากโรงผลิตแห่งนี้ไปไว้ที่บ้าน เป็นมงคลแก่บ้านและผู้อยู่อาศัย พอขึ้นรถได้ที่ดีแล้ว การเสวนาก็เริ่มขึ้นอีกครั้งหลังรถเคลื่อนตัวออกเดินทางต่อไป
“ยุคสมัยสามก๊ก ประเทศจีนเกิดความระส่ำระสายหนัก ราชวงศ์แตกแยกกันออกเป็นสามราชวงศ์ด้วยกัน เหตุการณ์ช่วงนี้อยู่ระหว่าง ค.ศ. 220-265 รัฐเว่ยมีราชธานีอยู่ที่เมืองลั่วหยาง รัฐสูมีราชธานีอยู่ที่ เฉิงตู และรัฐหวู มีราชธานีอยู่ที่ เมืองเจี้ยนเยี่ย(หนานจิง) ต่อจากนี้ก็มีราชวงศ์จิ้น ราชวงศ์เหนือใต้ ราชวงศ์สุย “ คุณโจวสรุปยาว
“ที่เป็นเรื่องน่าสนใจและได้ยินกันบ่อยก็ราชวงศ์ถัง ระหว่าง ค.ศ.618-907 ตั้งราชธานีที่เมืองฉางอาน (ซีอาน) ช่วงกลางสมัยราชวงศ์นี้ จักรพรรดิถังไท่จง ได้ปลดสนมคนหนึ่งออกจากตำแหน่ง สนมคนนี้ไปบวชเป็นชีอยู่ระยะหนึ่ง พอจักรพรรดิถังไท่จงสวรรคต ราชบุตรจักรพรรดิถังเกาจง ได้ครองราชย์และนางสนมที่บวชชีอยู่ได้กลับมาเป็นสนมดังเดิม ต่อมาเลื่อนเป็นฮองเฮา ได้ว่าราชการร่วมกับพระสวามีบ่อยครั้ง ด้วยพระปรีชาสมารถของพระนาง เมื่อจักรพรรดิเสด็จสวรรคต พระนางสถาปนาโอรสขึ้นเป็นจักรพรรดิติดต่อกันสองพระองค์ แต่พระนางก็ปลดลูกลงทั้งสองพระองค์ ในที่สุดตั้งตนเป็นฮ่องเต้หญิงองค์แรกในประเทศจีน พร้อมกับประกาศตั้งราชวงศ์ใหม่ว่า ราชวงศ์โจว บังคับในโอรสใช้แซ่หวู่แทนแซ่หลี่ของพระบิดา พระนางคือ หวู่เจ๋อเทียน หรือบูเซ็กเทียนในเมืองไทยนั่นเอง” คุณโจวเล่าด้วยความสนุก ลูกทัวร์ก็สนใจ และตั้งใจฟัง
“คุณโจวครับ รวมแล้วมีกี่ราชวงศ์ราชวงศ์อะไรบ้าง” ลูกทัวร์คนหนึ่งคงเหนื่อยแทนสรุป
“นับรวมอย่างเป็นทางการก็ 14 ราชวงศ์ และสามราชวงศ์ในยุคสามแผ่นดินช่วงเกิดเรื่องสามก๊ก รวมเป็น 17 ราชวงศ์ ครับ ที่เหลือคือราชวงศ์ หวู่ต้าย(ค.ศ.907-960) มีราชวงศ์ย่อยๆ 5 ราชวงศ์ซ่ง(ค.ศ.960-1279) หยวน(ค.ศ.1279-1368)เป็นชาวมองโกลจากทางทิศเหนือยึดครองได้ ในช่วงราชวงศ์นี้ มาร์โคโปโลชาวอิตาลีได้เดินทางเข้ามาสมัยจักรพรรดิกุบไลข่าน และอยู่รับราชการนานถึง 17 ปีทีเดียว มีการสร้างสะพานมาร์โคโปโลเป็นที่ระลึกไว้ด้วย” คุณโจวหยุดหายใจ
“แต่ต่อมาชาวฮั่นได้ขับไล่ชาวมองโกลออกไป ตั้งราชวงศ์หมิง(ค.ศ.1368-1644) ช่วงสมัยนี้ได้มีชาวโปรตุเกสเข้ามาร่วมค้าขายด้วย วิทยาศาสตร์สมัยใหม่ก็เข้ามาช่วงนี้ และราชวงศ์สุดท้าย ชาวแมนจู ได้ขึ้นปกครองแทนเป็นราชวงศ์ชิง (ค.ศ.1644-1911) ช่วงสมัยราชวงศ์นี้มีจักรพรรดิคังซี (ค.ศ.1662-1722) กับจักรพรรดิเฉียนหลง(ค.ศ.1736-1795) ได้สร้างความเจริญทั้งสิ่งก่อสร้าง ศิลปะ วัฒนธรรม ถือกันว่าเป็นช่วงที่ประเทศจีนมีความสงบสุข รุ่งเรือง ก่อนที่จะเริ่มนับถอยหลัง จนสิ้นสุดการปกครองในระบอบกษัตริย์ของประเทศจีน โดยมีพระนางซูสีไทเฮา เป็นผู้กำหนดชะตากรรมอันเลวร้ายกับยุวกษัตริย์หลายองค์” คุณโจวตอบสรุปด้วยเสียงที่เศร้าหมอง
“หลังจากนั้นก็เป็นช่วงที่ ดร.ซุนยัตเซ็น ปฏิรูปการปกครองจีน ต่อมา เจียงไคเช็ค
รับหน้าที่ต่อ และเกิดกรณีแย่งชิงแผ่นดินกับ เหมาเจ๋อตง อย่างรุนแรง แต่พอญี่ปุ่นบุกรุกรังแก ก็ร่วมกันขับไล่ญี่ปุ่นออกไปสำเร็จ ต่อจากนั้นทั้งสองฝ่ายก็ผวาเข้าห้ำหั่นกันต่อ จนถึงปี ค.ศ.1949 เหมาเจ๋อตงได้ชัยชนะเบ็ดเสร็จ เจียงไคเช็คหนีไปตั้งหลักปักฐานที่ ไต้หวัน” คุณโจวสนุก ใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสมาก ดูเหมือนเป็นนิยายที่เล่ามาหลายร้อยรอบแน่ๆ ถึงได้จดจำได้อย่างแม่นยำทีเดียว
“คนจีนถือกันว่า เจียงไคเช็คเป็นมังกรน้ำ จึงต้องไปอยู่ที่เกาะใต้หวัน อยู่บนบกไม่ได้ ส่วนเหมาเจ๋อตงเป็นมังกรบก ก็เลยได้ครอบครองแผ่นดินใหญ่ของจีน” คุณโจวจบด้วยการรับเสียงปรบมือดังสนั่น หลายคนยิ้มเปิดเผย หลายคนยิ้มมุมปาก บางคนก็จดๆๆๆ
“ประเทศจีนนี้กว้างใหญ่มาก แล้วก็เป็นประเทศที่มักก่อกำเนิดหรือสร้างอะไรก่อนชนชาติอื่นๆเสมอ เช่น กระดาษที่ท่านใช้กันอยู่นี้ ไชหลุน ขันทีในสมัยฮั่นเหอตี้ ได้คิดค้นขึ้นมาจากการใช้เศษผ้า แห อวน เปลือกไม้ มารวมๆกันจนเป็นกระดาษใช้งานได้ แล้วนำขึ้นทูลเกล้าแก่กษัตริย์ใน ค.ศ. 105 จนได้รับพระราชทานชื่อว่า กระดาษพระยาไช่ หรือไช่โหวจื่อหรืออย่างการพิมพ์หนังสือบนแผ่นไม้แล้วทาสี ก็เป็นชาติแรกที่ทำมาก่อนใคร” คุณโจวพูดเป็นน้ำไหลไฟดับ
“มีสัตว์แสนน่ารักที่มีเพียงแห่งเดียวในโลกคือหมีแพนด้า หรือสูงมาว อันเป็นหมีที่เชื่องและสวยที่สุด มีมากในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าวู่หลง มณฑลซื่อชวน ปัจจุบันนี้เหลือไม่ถึง 200ตัว ชอบกินใบไผ่ชื่อ ไผ่จู๋ซื่อ มีอายุยืนยาวระหว่าง 20-30 ปีก็ตาย” คุณโจวหยุดพักเหนื่อย
“แล้วที่ให้อเมริกาเล่าครับ เพื่อสันถวไมตรีหรือขายไปครับ” คนหนึ่งถามขึ้น คุณโจวตอบ
“ให้ไปแต่ไม่ได้ให้เปล่าหรอกนะครับ อเมริกาเช่าไปปีละ 3 ล้านเหรียญ ถ้าตายก็ต้องชดใช้ เอาไปใหม่ก็ต้องจ่ายค่าเช่าด้วยเช่นเดิม” คุณโจวทำเอาพวกเราสนุกเลย เพราะว่าคิดไม่ถึง เห็นภาพในข่าวเหมือนจีนให้แก่อเมริกาเพื่อสันถวไมตรี ที่แท้เช่าไปหรอกหรือนี่ เห็นเป็นหมีเชื่องๆ นอนทั้งวันมีค่าตัวแพงไม่เบาเลยนะครับ
“ประเทศจีนยังมีนกกระเรียนอีกตัวที่มีอยู่ 9 ชนิด ในจำนวนนกกระเรียนทั่วโลกจำนวน 15 ชนิด ชาวจีนถือกันว่า นกกระเรียนหัวแดงมีท่าทางการเดินเหิรที่สง่างามมาก ท่วงทีนิ่มนวล และยังมีเสียงร้องที่ไพเราะมาก จึงมักเรียกกันว่า เซียนเฮ่อ หรือกระเรียนเทวดา กวีเอกของจีนมักเปรียบเปรยในบทกลอนเสมอ และก็ถือกันว่านกกระเรียนเป็นสัญลักษณ์ของความสุข และอายุยืนนาน” ลูกกทัวร์ยังฟังกันเพลิน
“แต่พิษจากหัวนกกระเรียนแดงกลับใช้เป็นยาพิษสำหรับกษัตริย์ที่มักมอบให้แก่ผู้ที่สมควรตายดื่ม เหมือนในหนังจีนกำลังภายในไงล่ะครับ” คุณโจวจบด้วยความตายพอดี
“ใครอยากทดลองดื่มพิษนกกระเรียนแดงดูบ้างไหมครับ” เสียงหัวเราะครืนทั้งรถ