http://www.thongthailand.com
  สร้างเว็บไซต์Engine by iGetWeb.com 
 หน้าแรก  เว็บบอร์ด  บทความ  รวมรูปภาพ  ติดต่อเรา  ข่าวสาร
ค้นหา  ประเภทการค้นหา   Cart รายการสั่งซื้อ (0) 
สถิติ
เปิดเว็บไซต์ 15/03/2009
ปรับปรุง 13/03/2024
สถิติผู้เข้าชม14,001,669
Page Views16,310,462
« April 2024»
SMTWTFS
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930    
ท่องเที่ยวทั่วไทยไปทั่วโลก
ศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี วิถีชีวิต และความเชื่อ
รีวิว ร้านอาหาร โรงแรม รีสอร์ทและสปา
  foo&bed
ธรรมชาติ,สัตว์ป่าและพันธุ์พืช...มีคุณ(nature)
บทบรรณาธิการ สกู๊ฟพิเศษ และเรื่องเล่า
ข่าวสาร
http://www.thongthailand.com/index.php?mo=3&art=42365202
 

คึดฮอด....เมืองลาว ตอน 1 ขับงึม โดย เอื้อยนาง

คึดฮอด....เมืองลาว ตอน 1 ขับงึม  โดย เอื้อยนาง

คึดฮอด....เมืองลาว โดย "เอื้อยนาง"            

    
       คณะนักเขียนไทยกลุ่มหนึ่งที่พระธาตุหลวงเวียงจันทน์
        

ในฐานะคนเมืองอุบล  บ้านอยู่ ใกล้ชายแดนลาวและเขมร  แถมมีบรรพบุรุษเป็นทั้งลาว และส่วย  สมัยเป็นเด็กจึงคุ้นชิน ได้ยิน  ได้ฟัง เรื่องราวของเมืองเวียงจันทน์  อัตตะปือ  หรือเขมรต่ำมากกว่ากรุงเทพฯซะอีก  ังนั้นเมื่อเติบโต  และมีโอกาสจึงไม่เคยให้พลาดในการจะไปยื้อย่องเยี่ยมยามเมืองฟากฝั่งโขง  จึงมีสารคดีเกี่ยวกับประเทศลาวอยู่หลายตอนเผยแพร่ตามนิตยสารต่าง ๆ และมีเรื่องน่ารู้  น่าประทับใจในแง่มุมของเอื้อยนางที่น่าจะนำมารวมไว้ในชุด  คึดฮอด...เมืองลาว ชุดนี้  
                                        

                    

                   วงขับงึม  เสื้อสีขาวนั่งอยู่กลางวงกำลังขับงึม คลอเสียงแคน นั่นคือ "คำมณี"
                                      ที่ทุกคนออนซอน...ออนซอน..หลายเด้อ

 

๑.ขับงึม

 

          ครั้งหนึ่ง  ท่านอาจารย์โชติ  ศรีสุวรรณ  โทร.มาชวนเรื่องไปเยี่ยมเวียงจันทน์พร้อมสโมสรนักเขียนอีสาน  ซึ่งมีคุณสมคิด  สิงสง  ประธานสโมสรฯยุคนั้น เป็นหัวหน้าคณะนำไปทั้งหมด สิบสองคน เรียกว่าหนึ่งโหลโสตาย  มีผู้หญิงเพียงเดียวดายคือ เอื้อยนางค่ะ

            เป็นการไปเยี่ยมตอบแทนที่นักเขียนลาวได้มาเยือนสโมสรฯเพื่อสานสัมพันธ์ระหว่างนักเขียนสองฝั่งโขงเป็นครั้งแรก  เราอยู่ในลาวกว่าหนึ่งสัปดาห์     ช่วงนั้นสะพานมิตรภาพไทย-ลาวยังไม่สร้างเลย  เราต้องนั่งเรือข้ามแม่น้ำโขงโดย ลงเรือจากฝั่งหนองคายไปสู่ท่าเดื่อ  แล้วมีรถตู้มารับเข้าสู่เวียงจันทน์ พักในเวียงจันทน์  เที่ยวเวียงจันทน์  ร่วมประชุมสัมมนากับนักเขียนลาวที่กระทรวงแถลงข่าวและวัฒนธรรม ร่วมกิจกรรมอื่น ๆ รวมถึงการเข้าเยี่ยมคารวะท่านพูมี  วงวิจิด ด้วย   เป็นเวลา ๓ วัน  ๒ คืน  จึงได้เดินทางสู่บ้านพักบนเกาะ(ลาวเรียกดอน)ในเขื่อนน้ำงึม   นั่นแหละจึงได้มีโอกาสฟังการขับงึมที่จะเล่าในตอนนี้ไง

                                                            

                                        จานดอกไม้ค่าคายครูในการขับงึม

           
ท่ามกลางสายลมแผ่วพลิ้ว  และละอองฝนโปรยปรายผิวผล็อยของยามค่ำคืน    บนเกาะน้อยที่โอบล้อมด้วยน้ำสีเขียวเหมือนมรกตกลางเขื่อนน้ำงึม  กลุ่มนักเขียนจากอีสานและลาวที่เสร็จภาระจากการประชุมสัมมนาในเวียงจันทน์ก็เคลื่อนย้ายไปพักผ่อน พูดคุยกันต่อที่นั่น

            เสียงนกกาที่ขับกล่อมแว่ว ๆ  ตั้งแต่หัวค่ำเงียบหายไปเมื่อความมืดมาเยือน    แม้ แ ต่หริ่งหรีดเรไรและแมงน้ำฝนที่ส่งเสียงบรรเลงเพลงขึ้นมาไม่นาน   ก็ถูกขับไล่กลบหายด้วยเสียงเพลงแว่ว หวาน  แห่งการขับงึมดังขึ้นมาแทน

 

            เสียงอิ่นอ้อยน้อยอ่อนคำมณี....

          คลอเสียงแคนม่วนหูเย็นจ้อย...


             

                           ผู้เขียน(คนหัวฟูที่สุด) กับนักเขียนลาว ที่บ้านพักกลางเกาะ ในเขื่อนน้ำงึม
                           ที่เห็นอยู่ลิบๆโน่นคือ ดอนท้าว ดอนนาง ซึ่งมีตำนานการนำนักโทษไปปล่อย       
    

           
เพลงขับงึมประสานเสียงแคนพลิ้วมาเหมือนคลื่นแห่งทิวข้าวยามถูกลมหนาวโชยผ่าน  พลิ้วไปไกลผ่านเกาะน้อยสู่ห้วงน้ำกว้างใหญ่ที่แผ่ล้อมโอบคลุม
  ฉุดเอาดวงใจหลายดวง ณ ที่นั้นให้หวิวไหว  ล่องลอยสู่ห้วงแห่งจินตนาการ

 

            ....เสียงนางหล้าคำมณีน้อยอ่อน

          นวลใส่หูจ้อย จ้อย  เป็นที่น่า  อีดู...แท้นอ

          งามแท้หนอ 

          งามทั้งวัยวาสยิ้ม   จาเว้ากะแม่นงาม

          โอนอ...  คันแม่นเบิ่งผาดผีด  กะแม่นเจ้ามโนรา

          โอนอ...เบิ่งจั่งหนึ่งผัดคือนางลุนน้อย  เมียเจ้าก่ำกาดำ

          โอนอ...ยามเมื่อนางหัวแย้ม

          พระอินทร์แต้ม  กะบ่ปาน  แท้นอ

 

นั่นคือเสียงขับงึมของฝ่ายชาย อาจารย์ชม  ผู้เป็นหัวหน้าคณะ  ชมความงามของฝ่ายหญิง  ซึ่งเป็นสาวแรกรุ่นวัยแรกแย้มเหมือนดอกบัวตูมเผยอกลีบยามรุ่งอรุณ  ที่ชื่อ  คำมะนี  ผู้มีรอยยิ้มและน้ำเสียงขยี้หัวใจท่านผู้ฟังโดยเฉพาะนักเขียนฝ่ายไทยวัยดึกทั้งหลายให้แทบแหลกสลายด่าวดิ้นลงข้างวงนั่นเอง 

            ขับงึม  เป็นการแสดงพื้นบ้านที่มีในแถบลุ่มน้ำงึม  ตามธรรมดา  ตามคำบอกเล่า  ขับงึมจะมีขึ้นในช่วงเทศกาล  งานบุญ  งานศพ  เป็นที่นิยมมากในพื้นถิ่น  คณะขับงึมที่มีชื่อเสียงดัง ๆ จะถูกว่าจ้างไปแสดงด้วยเงินหลายหมื่นกีบสำหรับการแสดงครั้งหนึ่ง ๆ ซึ่งอาจว่าจ้างกันทั้งคืน  หรือสองสามชั่วโมงแล้วแต่จะตกลงกัน

            ผู้ขับงึมแบ่งออกเป็นสองฝ่าย คือฝ่ายชาย  และฝ่ายหญิง  อาจมีฝ่ายละคน หรือสองคนก็ได้  พร้อมกับหมอแคนประจำตัวทุกคน  คล้ายหมอลำคู่ในแถบอีสานทั่วไป  แต่หมอลำคู่จะร้องลำโต้ตอบกัน  ถกถามปัญหากันในหลาย ๆ เรื่อง  หลาย ๆ หัวข้อ  ผิดกับการขับงึมส่วนใหญ่เป็นการเกี้ยวพาราสี  เอื้อนเอ่ย  ออดอ้อน  ช้อนตักด้วยคำอันอ่อนหวานเว้าวอนอ้อนชม 

            ขับงึม  ฟัง ไปก็คล้ายการเจรจาประกอบดนตรี  ซึ่งมีชิ้นเดียวคือแคน  ดนตรีแสนมหัศจรรย์ที่พลิ้วเสียงคลอเสียงร้องไปได้ทุกลีลา   และการเจรจาโต้ตอบกันนี้แทนที่จะเป็นภาษาธรรมดา  กลับเป็นภาษากวีที่ไพเราะ งดงาม  น้ำเสียงคนขับพริ้งเพราะ  อ่อนพลิ้ว   อ้อยสร้อย  ฉ่ำชื่นเหมือนลมพัดทิวข้าวเมื่อคราวปลายฝน 

            ก่อนเริ่มการขับงึม  อาจารย์ชม ซึ่งเป็นผู้ขับฝ่ายชายคนเดียวและเป็นหัวหน้าคณะด้วยจะทำพิธีไหว้ครูก่อน  ชาวคณะทั้งหมดรวมทั้งหมอแคนด้วย  นั่งเป็นวงกลมหันหน้าเข้าหากัน   ผู้ชมผู้ฟังแต่ละคนนั่งถัดออกมาซ้อนเป็นวงใหญ่กลางวง  ตรงหน้าหัวหน้าคณะและผู้แสดงที่มีพานดอกไม้วางไว้ตรงหน้าแต่ละคน  คนละพาน  รวมทั้งหมอแคนด้วย  ในพานมีดอกไม้ ๕ คู่ เงิน ๕๐๐  กีบ  กับแก้วน้ำสำหรับดื่มแก้คอแห้ง  ที่ขาดไม่ได้คือเบียร์ลาว  และเหล้าข้าวเหนียว  เงินในพานนี้จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเสียงขับถูกใจท่านผู้ฟังที่นั่งอยู่รายล้อม  (สงสารแต่หมอแคนเป่าดีขนาดไหนก็ไม่ใคร่มีใครให้เงินเลย)


                  
                           
กลุ่มนักเขียนไทยกับน้องคำมณี ยืนกลางน่ะคุณขจรฤทธิ์ รักษา 
                                 ซ้าย คุณสมคิด สิงสง  ขวา อ.อรรถ  นันทจักร จากม.สารคาม
 

            ฝ่ายหญิงมี ๒ คน  คือ  แปงคำ  สาวใหญ่วัยดึก  แต่มีเสียงหวานใสยิ่งกว่าสาววัยรุ่นก็ไม่ปาน  บวกกับประสบการณ์ความจัดเจนเวลาแล้ว  เธอสามารถเรียกเงินลงพานตัวเองได้มากกว่าอาจารย์ชม(หรืออาจเป็นเพราะผู้ชมส่วนมากเป็นชาย)

            ฝ่ายหญิงอีกคนคือ  คำมะนี  สาวน้อยที่ฉีกหัวใจ(และกระเป๋าเงิน) หนุ่ม ๆ และไม่หนุ่มทั้งหลายที่นั่งอยู่รายล้อม  ให้กระจุยกระจาย  ด้วยใบหน้าหวานละมุน  รอยยิ้มที่สดใสของดอกไม้แรกจ่อจูม(ผลิตูม)  และน้ำเสียงพริ้งเพราะ  พลิ้วสะบัดกระทบหัวใจคน  เหนือสิ่งอื่นใดคือปฏิภาณกวีของเธอ  ที่สามารถใช้คำพูดลดเลี้ยววกวนเข้าหาท่านผู้ชม ผู้ฟังแต่ละ  โดยเฉพาะคนไกลบ้าน ให้หัวใจเตลิด  จนต้องควักกระเป๋ากันจ้าละหวั่น  ท้ายสุดกว่าจะจบรายการ  เงินในพานตรงหน้าคำมะนีน้อยอ่อนก็กองสูงล้นพาน  ทำเอาผู้ฟังหลายท่านต้องกระเป๋าแห้งกลับบ้าน  เพราะรสคำหวานของคำมะนี  สมเป็น  มณีแห่งถ้อยคำโดยแท้...เนาะ

 

            ออนซอนเด...คำมะนีน้องอ่อน

          ออนซอนบาดเพิ่นแย้มหัวยิ้มให้พี่ชาย

          ออนซอนบาดเพิ่นเว้าขับลำว่า...ฮักพี่

          บุญหลายเด้อจั่งได้มาพบพ้อ

          บุญน้อยหากบ่เห็น  ดอกนา

          บุญหลายเด้อจั่งได้พ้อฟังคำเจ้าอ่อนหวาน

          ปางใด๋เดจั่งสิได้พบพ้อมะนีน้อง  หน่วยใน...พี่เอ้ย

 

                                                ๐๐๐๐๐๐๐๐

 

Tags : Short&long Story

 
 หน้าแรก  บทความ  ข่าวสาร  รวมรูปภาพ  ติดต่อเรา  เว็บบอร์ด

อัตราค่าโฆษณา    

แบบเนอร์ กลางหน้า.  ขนาด 800 x 400-600 พิกเซล เห็นหน้าแรก  5,000 บาท/เดือน

แบนเนอร์ เหนือโลโก้เว็บไซต์ ขนาด 1000 x 80 พิกเซล เห็นทุกหน้า 4,000 บาท/เดือน

 แบนเนอร์ ซ้าย  ขนาด 240 x 120-160 พิกเซล เห็นทุกหน้า 3,000 บาท/เดือน

ทำข่าวแถลง รีวิวโรงแรมและร้านอาหาร  เขียนสารคดี เชิญได้โดยตรงที่ โทร.081-9416364

ติดต่อ 135 ม.12 ต.กำแพงแสน อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม 73140

 
view