คึดฮอด....เมืองลาว โดย "เอื้อยนาง"
คณะนักเขียนไทยกลุ่มหนึ่งที่พระธาตุหลวงเวียงจันทน์
ในฐานะคนเมืองอุบล บ้านอยู่ ใกล้ชายแดนลาวและเขมร แถมมีบรรพบุรุษเป็นทั้งลาว และส่วย สมัยเป็นเด็กจึงคุ้นชิน ได้ยิน ได้ฟัง เรื่องราวของเมืองเวียงจันทน์ อัตตะปือ หรือเขมรต่ำมากกว่ากรุงเทพฯซะอีก ดังนั้นเมื่อเติบโต และมีโอกาสจึงไม่เคยให้พลาดในการจะไปยื้อย่องเยี่ยมยามเมืองฟากฝั่งโขง จึงมีสารคดีเกี่ยวกับประเทศลาวอยู่หลายตอนเผยแพร่ตามนิตยสารต่าง ๆ และมีเรื่องน่ารู้ น่าประทับใจในแง่มุมของเอื้อยนางที่น่าจะนำมารวมไว้ในชุด “คึดฮอด...เมืองลาว” ชุดนี้
ที่ทุกคนออนซอน...ออนซอน..หลายเด้อ
๑.ขับงึม
ครั้งหนึ่ง ท่านอาจารย์โชติ ศรีสุวรรณ โทร.มาชวนเรื่องไปเยี่ยมเวียงจันทน์พร้อมสโมสรนักเขียนอีสาน ซึ่งมีคุณสมคิด สิงสง ประธานสโมสรฯยุคนั้น เป็นหัวหน้าคณะนำไปทั้งหมด สิบสองคน เรียกว่าหนึ่งโหลโสตาย มีผู้หญิงเพียงเดียวดายคือ เอื้อยนางค่ะ
เป็นการไปเยี่ยมตอบแทนที่นักเขียนลาวได้มาเยือนสโมสรฯเพื่อสานสัมพันธ์ระหว่างนักเขียนสองฝั่งโขงเป็นครั้งแรก เราอยู่ในลาวกว่าหนึ่งสัปดาห์ ช่วงนั้นสะพานมิตรภาพไทย-ลาวยังไม่สร้างเลย เราต้องนั่งเรือข้ามแม่น้ำโขงโดย ลงเรือจากฝั่งหนองคายไปสู่ท่าเดื่อ แล้วมีรถตู้มารับเข้าสู่เวียงจันทน์ พักในเวียงจันทน์ เที่ยวเวียงจันทน์ ร่วมประชุมสัมมนากับนักเขียนลาวที่กระทรวงแถลงข่าวและวัฒนธรรม ร่วมกิจกรรมอื่น ๆ รวมถึงการเข้าเยี่ยมคารวะท่านพูมี วงวิจิด ด้วย เป็นเวลา ๓ วัน ๒ คืน จึงได้เดินทางสู่บ้านพักบนเกาะ(ลาวเรียกดอน)ในเขื่อนน้ำงึม นั่นแหละจึงได้มีโอกาสฟังการขับงึมที่จะเล่าในตอนนี้ไง
จานดอกไม้ค่าคายครูในการขับงึม
ท่ามกลางสายลมแผ่วพลิ้ว และละอองฝนโปรยปรายผิวผล็อยของยามค่ำคืน บนเกาะน้อยที่โอบล้อมด้วยน้ำสีเขียวเหมือนมรกตกลางเขื่อนน้ำงึม กลุ่มนักเขียนจากอีสานและลาวที่เสร็จภาระจากการประชุมสัมมนาในเวียงจันทน์ก็เคลื่อนย้ายไปพักผ่อน พูดคุยกันต่อที่นั่น
เสียงนกกาที่ขับกล่อมแว่ว ๆ ตั้งแต่หัวค่ำเงียบหายไปเมื่อความมืดมาเยือน แม้ แ ต่หริ่งหรีดเรไรและแมงน้ำฝนที่ส่งเสียงบรรเลงเพลงขึ้นมาไม่นาน ก็ถูกขับไล่กลบหายด้วยเสียงเพลงแว่ว หวาน แห่งการขับงึมดังขึ้นมาแทน
เสียงอิ่นอ้อยน้อยอ่อนคำมณี....
คลอเสียงแคนม่วนหูเย็นจ้อย...
ผู้เขียน(คนหัวฟูที่สุด) กับนักเขียนลาว ที่บ้านพักกลางเกาะ ในเขื่อนน้ำงึม
ที่เห็นอยู่ลิบๆโน่นคือ ดอนท้าว ดอนนาง ซึ่งมีตำนานการนำนักโทษไปปล่อย
เพลงขับงึมประสานเสียงแคนพลิ้วมาเหมือนคลื่นแห่งทิวข้าวยามถูกลมหนาวโชยผ่าน พลิ้วไปไกลผ่านเกาะน้อยสู่ห้วงน้ำกว้างใหญ่ที่แผ่ล้อมโอบคลุม ฉุดเอาดวงใจหลายดวง ณ ที่นั้นให้หวิวไหว ล่องลอยสู่ห้วงแห่งจินตนาการ
....เสียงนางหล้าคำมณีน้อยอ่อน
นวลใส่หูจ้อย จ้อย เป็นที่น่า อีดู...แท้นอ
งามแท้หนอ
งามทั้งวัยวาสยิ้ม จาเว้ากะแม่นงาม
โอนอ... คันแม่นเบิ่งผาดผีด กะแม่นเจ้ามโนรา
โอนอ...เบิ่งจั่งหนึ่งผัดคือนางลุนน้อย เมียเจ้าก่ำกาดำ
โอนอ...ยามเมื่อนางหัวแย้ม
พระอินทร์แต้ม กะบ่ปาน แท้นอ
นั่นคือเสียงขับงึมของฝ่ายชาย อาจารย์ชม ผู้เป็นหัวหน้าคณะ ชมความงามของฝ่ายหญิง ซึ่งเป็นสาวแรกรุ่นวัยแรกแย้มเหมือนดอกบัวตูมเผยอกลีบยามรุ่งอรุณ ที่ชื่อ “คำมะนี” ผู้มีรอยยิ้มและน้ำเสียงขยี้หัวใจท่านผู้ฟังโดยเฉพาะนักเขียนฝ่ายไทยวัยดึกทั้งหลายให้แทบแหลกสลายด่าวดิ้นลงข้างวงนั่นเอง
ขับงึม เป็นการแสดงพื้นบ้านที่มีในแถบลุ่มน้ำงึม ตามธรรมดา ตามคำบอกเล่า ขับงึมจะมีขึ้นในช่วงเทศกาล งานบุญ งานศพ เป็นที่นิยมมากในพื้นถิ่น คณะขับงึมที่มีชื่อเสียงดัง ๆ จะถูกว่าจ้างไปแสดงด้วยเงินหลายหมื่นกีบสำหรับการแสดงครั้งหนึ่ง ๆ ซึ่งอาจว่าจ้างกันทั้งคืน หรือสองสามชั่วโมงแล้วแต่จะตกลงกัน
ผู้ขับงึมแบ่งออกเป็นสองฝ่าย คือฝ่ายชาย และฝ่ายหญิง อาจมีฝ่ายละคน หรือสองคนก็ได้ พร้อมกับหมอแคนประจำตัวทุกคน คล้ายหมอลำคู่ในแถบอีสานทั่วไป แต่หมอลำคู่จะร้องลำโต้ตอบกัน ถกถามปัญหากันในหลาย ๆ เรื่อง หลาย ๆ หัวข้อ ผิดกับการขับงึมส่วนใหญ่เป็นการเกี้ยวพาราสี เอื้อนเอ่ย ออดอ้อน ช้อนตักด้วยคำอันอ่อนหวานเว้าวอนอ้อนชม
ขับงึม ฟัง ไปก็คล้ายการเจรจาประกอบดนตรี ซึ่งมีชิ้นเดียวคือแคน ดนตรีแสนมหัศจรรย์ที่พลิ้วเสียงคลอเสียงร้องไปได้ทุกลีลา และการเจรจาโต้ตอบกันนี้แทนที่จะเป็นภาษาธรรมดา กลับเป็นภาษากวีที่ไพเราะ งดงาม น้ำเสียงคนขับพริ้งเพราะ อ่อนพลิ้ว อ้อยสร้อย ฉ่ำชื่นเหมือนลมพัดทิวข้าวเมื่อคราวปลายฝน
ก่อนเริ่มการขับงึม อาจารย์ชม ซึ่งเป็นผู้ขับฝ่ายชายคนเดียวและเป็นหัวหน้าคณะด้วยจะทำพิธีไหว้ครูก่อน ชาวคณะทั้งหมดรวมทั้งหมอแคนด้วย นั่งเป็นวงกลมหันหน้าเข้าหากัน ผู้ชมผู้ฟังแต่ละคนนั่งถัดออกมาซ้อนเป็นวงใหญ่กลางวง ตรงหน้าหัวหน้าคณะและผู้แสดงที่มีพานดอกไม้วางไว้ตรงหน้าแต่ละคน คนละพาน รวมทั้งหมอแคนด้วย ในพานมีดอกไม้ ๕ คู่ เงิน ๕๐๐ กีบ กับแก้วน้ำสำหรับดื่มแก้คอแห้ง ที่ขาดไม่ได้คือเบียร์ลาว และเหล้าข้าวเหนียว เงินในพานนี้จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเสียงขับถูกใจท่านผู้ฟังที่นั่งอยู่รายล้อม (สงสารแต่หมอแคนเป่าดีขนาดไหนก็ไม่ใคร่มีใครให้เงินเลย)
กลุ่มนักเขียนไทยกับน้องคำมณี ยืนกลางน่ะคุณขจรฤทธิ์ รักษา
ซ้าย คุณสมคิด สิงสง ขวา อ.อรรถ นันทจักร จากม.สารคาม
ฝ่ายหญิงมี ๒ คน คือ “แปงคำ” สาวใหญ่วัยดึก แต่มีเสียงหวานใสยิ่งกว่าสาววัยรุ่นก็ไม่ปาน บวกกับประสบการณ์ความจัดเจนเวลาแล้ว เธอสามารถเรียกเงินลงพานตัวเองได้มากกว่าอาจารย์ชม(หรืออาจเป็นเพราะผู้ชมส่วนมากเป็นชาย)
ฝ่ายหญิงอีกคนคือ “คำมะนี” สาวน้อยที่ฉีกหัวใจ(และกระเป๋าเงิน) หนุ่ม ๆ และไม่หนุ่มทั้งหลายที่นั่งอยู่รายล้อม ให้กระจุยกระจาย ด้วยใบหน้าหวานละมุน รอยยิ้มที่สดใสของดอกไม้แรกจ่อจูม(ผลิตูม) และน้ำเสียงพริ้งเพราะ พลิ้วสะบัดกระทบหัวใจคน เหนือสิ่งอื่นใดคือปฏิภาณกวีของเธอ ที่สามารถใช้คำพูดลดเลี้ยววกวนเข้าหาท่านผู้ชม ผู้ฟังแต่ละ โดยเฉพาะคนไกลบ้าน ให้หัวใจเตลิด จนต้องควักกระเป๋ากันจ้าละหวั่น ท้ายสุดกว่าจะจบรายการ เงินในพานตรงหน้าคำมะนีน้อยอ่อนก็กองสูงล้นพาน ทำเอาผู้ฟังหลายท่านต้องกระเป๋าแห้งกลับบ้าน เพราะรสคำหวานของคำมะนี สมเป็น มณีแห่งถ้อยคำโดยแท้...เนาะ
ออนซอนเด...คำมะนีน้องอ่อน
ออนซอนบาดเพิ่นแย้มหัวยิ้มให้พี่ชาย
ออนซอนบาดเพิ่นเว้าขับลำว่า...ฮักพี่
บุญหลายเด้อจั่งได้มาพบพ้อ
บุญน้อยหากบ่เห็น ดอกนา
บุญหลายเด้อจั่งได้พ้อฟังคำเจ้าอ่อนหวาน
ปางใด๋เดจั่งสิได้พบพ้อมะนีน้อง หน่วยใน...พี่เอ้ย
๐๐๐๐๐๐๐๐