ข้าวจี่
“สาวภูไท”
คนที่อยู่ในวัฒนธรรมข้าวเหนียวคงไม่มีใครไม่รู้จักข้าวจี่ เพราะมันคือ อาหารง่าย ๆ ผลิตจากข้าวเหนียว (นึ่งสุกแล้ว) ผสมเกลือ ปั้นเป็นก้อนใส่น้ำอ้อยไว้ตรงกลาง(ปัจจุบันผสมไข่แทนน้ำอ้อย) นำไปจี่ในกองไปที่เกลี่ยถ่านแดง ๆ ไว้แล้ว กลิ่นข้าวไหม้หอมกรุ่น โดยเฉพาะหากเป็นช่วงข้าวใหม่จะหอมกลิ่นข้าว กลิ่นไฟ บิกินร้อนๆ เป็นอาหารว่าง (กินกับกาแฟดีนักแล) ก่อนอาหารมื้อใหญ่ หรือใช้เป็นอาหารยามยาก พกติดตัวไปกินระหว่างเดินทางออกไปเสาะหาปู ปลา หรืออื่นใดมาปรุงอาหารมื้อใหญ่ประจำวัน
ข้าวจี่ เป็นอาหารสำหรับคนทุกวัย ป้อนเด็ก หรือสำหรับคนฟื้นไข้ที่มักผิดสำแดง โดยเฉพาะแม่ลูกอ่อนอยู่ไฟกินอะไรไม่ได้ขะลำ*ไปหมด ข้าวจี่คืออาหารอย่างเดียวที่กินได้ทุกคน
ในนิทานพื้นบ้านลาว-อีสาน เรื่อง “นางผมหอม” ตัวละครเอก คือ นางผมหอมเป็นเด็กกำพร้า(กำเนิดจากการที่แม่ของนางไปดื่มน้ำในรอยพญาช้างสาร) เป็นที่น่ารังเกียจของสังคมชาวบ้าน ไม่มีเด็กใด ๆ อยากเล่นด้วย จึงไม่มีเพื่อนเลย ไปขอเล่นกับใคร ๆ เขาก็วิ่งหนีหมด แม่ของผมหอมสงสารจึงสู้อุตส่าห์ทำข้าวจี่ทีละหลาย ๆ ก้อนให้ลูกนำไปแบ่งปันเด็ก ๆ แลกกับการได้เล่น ได้เป็นเพื่อนกับเขา
ประเพณีบุญข้าวจี่ เป็นบุญเดือนสามในภาคอีสาน มีมูลเหตุแห่งการทำ เล่าไว้ในหนังสือ ประเพณีโบราณอีสาน ของพ่อใหญ่ ดร.ปรีชา พิณทอง นักปราชญ์ชาวอุบลไว้ว่า
คราหนึ่ง เมื่อครั้งพุทธกาล นางปุณณทาสีได้ทำขนมแป้งจี่(ข้าวจี่)ขึ้น นำไปถวายแด่พระพุทธเจ้า และพระอานนท์ นางคิดว่าเมื่อพระองค์รับแล้วคงจะไม่ฉัน เพราะอาหารของเราไม่ประณีต คงโยนให้กาและสุนัขกินเสีย เมื่อพระพุทธองค์ทรงทราบวาระจิตของนางปุณณทาสีแล้วจึงรับสั่งให้พระอานนท์ปูลาดอาสนะลง ทรงประทับนั่งฉันขนมแป้งจี่ ณ ที่นั้น พอนางปุณณทาสีได้เห็นก็เกิดปิติยินดีสุดกำลัง พระองค์ทรงแสดงธรรมให้ฟัง นางก็ได้บรรลุโสดา ปัตติผล เป็นอริยบุคคล เพราะข้าวจี่เป็นมูลเหตุดังนั้น ชาวนาเมื่อเก็บเกี่ยวข้าวแล้ว จึงพากันทำบุญข้าวจี่ เพราะการถวายข้าวจี่มีอานิสงส์มาก
ปัจจุบันบุญข้าวจี่ในช่วงเดือนสามยังถือปฏิบัติในบางท้องถิ่นของอีสาน
๐๐๐๐๐๐๐
*ขะลำ- ข้อห้าม,ต้องห้าม
อ้างอิง --- หนังสือประเพณีอีสานโบราณ โดย ปรีชา พิณทอง