คึดฮอดน้องสาว เกดมะนี กับ กวีผีเข้า ดาวเวียง
“เอื้อยนาง”
ในช่วงที่ไปร่วมสัมมนา และร่วมกิจกรรมกับสโมสรนักเขียนที่เวียงจันทน์ตามที่เล่าไว้ในตอนก่อน ๆ นั้น อย่างที่บอกแล้วนะคะว่า ในจำนวนสมาชิกที่ไปหนึ่งโหลโสตายนั้นมีเอื้อยนางเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียว ก็เลยร่ำร้องต้องการเพื่อนมาพักร่วมห้องที่เป็นผู้หญิงด้วยสักหนึ่งคน นักเขียนสาวคนนี้จึงได้ก้าวเข้ามาให้ได้รู้จัก ให้ได้รัก ให้ได้คึดฮอดดังปัจจุบัน แม้ผ่านมาเป็นสิบปีแล้วก็ตาม
เธอคือสาวเจ้านาม “เกดมะนี” ค่ะ
หอพระแก้วเวียงจันทร์
เกดมะนี คำวงสา ผู้มีรอยยิ้ม และเสียงเพลงประทับใจคน
เรารู้จักเธอครั้งแรกในห้องประชุมสัมมนา แลกเปลี่ยนความคิดระหว่างนักเขียนสองฝั่งโขง ที่กระทรวงแถลงข่าวและวัฒนธรรม เวียงจันทน์ ด้วยใบหน้าที่ประดับรอยยิ้ม และแววตาที่ใสซื่อ แสดงความจริงใจ กระตือรือร้นที่จะได้รู้จักสนิทสนม เพียงชวนคุยแป๊บเดียวเอื้อยนางก็มีน้องสาวติดกลุ่มไปไหน ๆ ให้หายหวาดหวั่น และเดียวดายแล้ว
เกดมะนีกัยคุณพระไม้ บ้านลาวแฝด
จึงได้บอกเจ้าหน้าที่ผู้จัดการต้อนรับว่าเราอยากมีเพื่อนผู้หญิงไปพักด้วยในท่ามกลางกลุ่มผู้ชาย ๑๑ คน เขาคงจะเห็นใจ และคิดว่าในหนึ่งโหลโสตายนั้นจะปล่อยให้มีแม่หญิงเพียงหนึ่งเดียวเดี่ยวโดดอยู่ได้อย่างไร เขาจึงถามอย่างลังเลว่าจะให้ใครล่ะจึงจะเหมาะ และเราก็เลือกเธอ เกดมะนี เธอขอไปคุยกับหัวหน้าแป๊บหนึ่งเพราะกลุ่มเราจะอยู่ตั้งอาทิตย์หนึ่งและเดินทางไปหลายที่ หลายเมือง หากไปกับเราเธอต้องหยุดงานด้วย และหัวหน้าเขาก็โอเค ด้วยน้ำใจที่เอื้อยนางไม่เคยลืม
สาวลาวสาวไทยดูไม่แตตกต่าง
ดูหน้าอ่อน ๆ เหมือนจะเพิ่งสาวรุ่น ๆ แต่เกดมะนีแต่งงานแล้ว มีลูกชาย ๒ คน สามีทำงานในห้องบันทึกเสียงสถานีวิทยุแห่งชาติลาว (ช่วงนั้นเขาลาไปเรียนเพิ่มเติมด้านช่างวิทยุที่เวียดนาม ๒ ปีจึงจะจบ)ก่อนแต่งงาน เกดมะนี เคยเป็นนักข่าวให้หนังสือพิมพ์ เสียงประชาชน และยังเขียนบทความที่เธอเรียกว่า “บทเสนอ” ด้วย เธออธิบายว่าเป็นคอลัมน์ที่เสนอความคิดเห็น และอยากให้ผู้อ่านรู้อะไร ๆ ก็เขียนลงไป อาจหยิบมาจากข่าว หรือเหตุการณ์บ้านเมืองช่วงนั้น ๆ ก็ได้ ว่างั้น
น้ำเต้าหู้
นอกจากนั้น เกดมะนี ยังเป็นเจ้าของคอลัมน์ในหัวข้อ “เวียกดีคนเด่น” ด้วย เป็นคอลัมน์ที่สรรหาคนทำงานเก่ง ๆ มาลงเสนอ
เมื่อแต่งงานมีลูก เกดมะนีหยุดงานเหล่านี้มาเลี้ยงลูกอ่อน จนปัจจุบันลูกโตพอสมควรแล้ว(คนเล็กวัยสามขวบ) จึงเข้าทำงานกับสมาคมนักประพันธ์ลาว ซึ่งมีห้องทำงานที่เธอเรียกว่า “ห้องการ” อยู่บนชั้นสองของกระทรวงแถลงข่าว และวัฒนธรรม เธอเป็นผู้หญิงคนเดียวในคณะทำงานทั้งหมด ทำหน้าที่เลขานุการ และพิมพ์ต้นฉบับหนังสือด้วย
เกดมะนีกับครอบครัวเอื้อยนาง
เธอเก็บเสื้อผ้ามาพักห้องเดียวกับเอื้อยนาง ในเย็นวันแรกนั่นเอง เป็นโอกาสที่แสนดีของทั้งสองฝ่าย ได้เรียนรู้ซึ่งกันและกัน เธอทึ่งในความทันสมัยของไทย เราทึ่งในความเป็นลาวของลาว ในเวลาว่างช่วงเย็น ๆ หากมีโอกาสเรามักชวนเธอออกเดินถนนและตลาดเวียงจันทน์กัน ได้สัมผัสชีวิตชาวเวียงจริง ๆ มากกว่าไปแบบเป็นพิธีการกับชาวคณะ มีโอกาสได้ไปบ้านของเกดมะนี ที่ชานเมืองเวียงจันทน์ เห็นแล้วคิดถึงครอบครัวพ่อใหญ่ แม่ใหญ่ ของตนเองที่บ้านโนนจานอำเภอสำโรงเมื่อหลายสิบปีก่อน ที่อยู่ใกล้ชิดติดกันล้วนญาติพี่น้องป้องปลาย ลูกน้อยของเกดมะนีทั้งสองจึงไม่เคยต้องห่วงว่าจะไม่มีใครดูแล แม้แม่ต้องออกไปทำงาน
กับน้องขวัญที่บ้านวารินชำราบ
เกดมะนีใช้จักรยานในการไปทำงาน ปั่นออกจากบ้านตั้งแต่ ๗ โมงเช้าของทุกวันจนถึง ๔ โมงเย็นจึงเลิกงาน เธอเล่าว่า
“กลับฮอดบ้านแล้ว น้องยังได้ออกไปรับทำเสริมสวยให้ผู้หญิงในหมู่บ้าน คือแต้มสีเล็บให้เขา ชุดหนึ่งทั้งเล็บมือเล็บเท้า คิดราคา ๒๐๐ กีบ วันหนึ่ง ๆ ก็มีลูกค้าไม่ต่ำกว่า ๑๐ คน เพราะฝีมือประณีต มีลูกค้าติดอกติดใจพอสมควร หากมีงานที่ห้องการติดพัน ไม่ได้ออกไปแต้มให้เขา สองสามวันเขาก็ถามถึงแล้ว”
เกดมะนี คำวงสา
เธอเป็นตัวแทนของแม่หญิงยุคใหม่ที่มีความกระตือรือร้นสร้างสาการงานโดยแท้จริง ชอบเรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัว คุยสนุก หัวเราะง่าย เป็นเพื่อนกับทุกคนได้ ชอบร้องเพลง เธอสามารถร้องเพลงลูกทุ่งไทยเพราะ ๆ ได้หลายเพลง เธอเป็นดาวเด่นในกลุ่มเชียวหละ สร้างบรรยากาศให้คนไกลบ้านได้หายเหงาได้มากทีเดียว
ด้วยวัยเพียง ๒๗ เกดมะนียังมีความหวังอีกยาวไกล มีความใฝ่ฝันที่จะพาตัวเองและครอบครัวไปสู่จุดหมายปลายทางที่ดีกว่า เธอหวังว่าสักวันหนึ่งคงเป็นนักเขียนดัง ๆ กับใครเขาได้บ้าง
แปดวัน เจ็ด คืนที่อยู่ด้วยกันสร้างความสนิทสนมความเป็นพี่เป็นน้อง และแม้เมื่อกลับมาแล้วเรายังติดต่อกันอยู่ ปีต่อมาเกดมะนีก็มาเยี่ยมถึงบ้านที่อุบล พักอยู่ด้วยหนึ่งสัปดาห์ ช่วงนั้นเอื้อยนางทำงานอยู่ที่ สำนักงานการประถมศึกษาอุบลราชธานี ได้พาเธอไปสำนักงานด้วย ให้เธอได้เรียนรู้อะไรหลาย ๆ อย่างที่แตกต่าง ที่เธอต้องการเรียนรู้ วิถีชีวิตของไทย เธอเข้ากันได้ดี กับลูก ๆ และครอบครัวของเอื้อยนาง ก่อนกลับจึงได้ลางานพาเธอมาเที่ยวกรุงเทพฯพักอยู่สองสามวันจึงส่งเธอข้ามโขงกลับเวียงจันทน์
๐๐๐๐๐
ปล. ว่าจะเล่าถึงดาวเวียงด้วยแต่ คิดว่าออกจะยาวไปแล้วนะคะ จึงเก็บเรื่องของคุณดาวเวียง กวีที่ถูกผีเข้าไปเล่าในตอนต่อไปก็แล้วกันค่ะ (สารคดีชุดนี้เคยลงพิมพ์ในหนังสือ กุลสตรี มาแล้ว นำมาปรับปรุงแก้ไขนิดหน่อย อยากให้ได้รู้จักลาวในแง่มุมของเอื้อยนางบ้างเท่านั้นเอง... เนาะ)