หลงเสน่ห์อยุธยา
๑.ตาลลูกนั้น ... จากบ้านโปรตุเกส
เอื้อยนาง
เสียงยังคงดังแว่ว ๆ ให้ได้ยินแม้เมื่อลุกขึ้นมานั่งบนเตียงในความมืดแล้ว เสียงนั้นช่างคล้ายดั่งว่ามันวี่วอนอ้อนลมมาจากที่ไกลสุดแสน
เป็นเสียงร้องของเด็ก แต่ครั้นเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ มันกลับคล้ายดั่งเป็นเสียงร้องของนก
ไม่ใช่หรอก... ฉันบอกตัวเอง นกอะไรร้องเสียง ออด ๆ ปุด ๆ ...
หรือว่าจะเป็นชะนี...
ฉันมาพักอยู่ที่เกสต์เฮาส์ หน้าวัดมหาธาตุ อยุธยากับเพื่อนผู้เพิ่งกลับมาจากยุโรป เธออยากเที่ยวเมืองไทย ที่ไหนๆ ก็ได้ จะได้คุยกันไปด้วย ฉันเลือกอยุธยา เราจึงใช้เวลาตลอดทั้งวันในการนั่งรถหน้าเตารีดท่องเมืองเก่าแบบหลงเสน่ห์อยุธยา(เฉพาะฉันนะ) และมาล้มตัวลงนอนในตอนดึก ๆ นี่เอง ฉันหลับเป็นตายขณะหูยังแว่วเสียงเรื่องเสื้อหลายสีของเมืองไทย เรื่องอะไร ๆ ที่เมืองไทยไม่มีเหมือนเมืองเทศ ที่เพื่อนเพิ่งจากมา เกี่ยวกับการจัดการนานาประการ
เพื่อนคงมีอาการช็อคทางวัฒนธรรม จึงพร่ำบ่นเรื่อยไปในขณะฉันกลับดื่มด่ำลึกล้ำกับสิ่งที่พบเจอ และเธอคงเพิ่งหลับไป เพราะยังเงียบฉี่ ไม่มีวี่แววว่าจะได้ยินสิ่งที่ฉันได้ยิน
ฟังซี...เสียง ...ปุด ๆ ...ของสัตว์ร้อง แปรเปลี่ยนเป็นเสียงเด็กร้องไห้อีกแล้ว ครานี้มา ออด ๆ งอด ๆ อยู่ใกล้ ๆ มุมใดมุมหนึ่งในห้องนี้เอง ฉันพยายามลืมตาในความมืด มีแสงสลัวจากไฟประดับด้านพระปรางค์วัดมหาธาตุส่องมาให้เห็นได้พอราง ๆ
เสียงของเด็กขี้อ้อนยิ่งดังขึ้นเมื่อรู้ว่ามีคนตื่น ดังแรงและถี่ขึ้นเป็นสะอึกสะอื้น กระซิก กระซี้ ดูช่างขี้แงเหลือประมาณ
อ้อ...อยู่นั่นเอง เจ้าเด็กขี้อ้อน นอนกลิ้งสวิงตัวไปมาอยู่บนโต๊ะเล็ก ๆ ปลายเตียงนี่เอง เด็กที่ไหนมาร้องไห้อยู่ที่นี่ ส่งเสียงสะอื้น ริกๆ ซิก ๆ พิไรพิรี้น่าสงสาร
ฉันโหย่งเท้าเข้าไปหา เจ้าตัวน่าสงสารพลันกระโดดเข้ามาในอ้อมกอด จนฉันรับแทบไม่ทัน และเลยก้นจ้ำเบ้าลงที่เดิมขณะกอดร่างนั้นไว้แน่น
มีกลิ่นหอมอ่อนๆกรุ่นกำจายออกมาจากศีรษะน้อยๆ ในอ้อมกอด เสียงสะอื้นจางหาย กลายเป็นเสียงหัวเราะ ใบหน้าน้อย ๆ ในกรอบผมสีน้ำตาลแหงนเงยขึ้นมาอิงแอบดีอกดีใจจน
ฉันอดไม่ได้พลอยหัวเราะไปด้วย
“ยังไม่นอนอีกเหรอ...มาหัวเราะอะไรกลางดึก คุณเสื้อสีรุ้ง”
คุณนันเพื่อนที่ฉันคิดว่าหลับอยู่ลุกไปเปิดไฟ ทำให้ห้องสว่างขึ้น
“หอมอะไรฮึ...” เธอทำจมูกฟุดฟิด ครั้นหันมาที่ฉันเธอก็ร้องขึ้นว่า “อ้าว...โอ้ย...แล้วนี่เอาลูกตาลนี่มากอดไว้ทำไม”
เพื่อนตาตื่นมองฉัน ฉันตกใจก้มมองร่างเด็กน้อยผู้สะอื้นปนหัวเราะในอ้อมกอด แต่ที่เห็นคือผลกลมๆ สีน้ำตาลเป็นเงาวับสะท้อนแสงไฟ
เป็นผลกลมที่หล่นกลิ้งอยู่บนดินใต้ต้นตาล ที่ฉันคว้าเอามาอุ้มก่อนกลับขึ้นรถหน้าเตารีด แล้วโบกมือลาบ้านโปรตุเกส โบราณสถานแห่งสุดท้ายที่เราไปเยือนเมื่อบ่ายคล้อยจวนค่ำเมื่อวาน
กลิ่นหอมอ่อนๆ ยังโชยมาแม้ว่าฉันจะเอามันกลับไปวางที่เดิม สัมผัสอุ่นๆ ที่ปลายมือทำให้ต้องค่อยๆ วางอย่างเบาๆ อย่างเกรงอกเกรงใจ เพราะในเสี้ยววินาทีหนึ่งนั้น ลูกตาลกลมรีลูกนั้นกลับเห็นเป็นใบหน้าสีชมพูในกรอบผมสีน้ำตาล กำลังพริ้มตาลงหลับใหล
ภาพโบราณสถานบ้านโปรตุเกส ณ ริมฝั่งเจ้าพระยาผุดพรายขึ้นมาให้เห็น ......
ตาลต้นนั้นสูงเด่นเป็นสง่าอยู่ท่ามกลางซากฐานอาคารเก่าที่ก่อด้วยอิฐ ถัดไปเป็นอาคารสีขาวภายในเป็นหลุมลึกที่มีโครงกระดูกมนุษย์อยู่เรียงราย เล็ก ใหญ่
ทั้งหมดนี้คือร่องรอยหลักฐานการเข้ามาอยู่ในอยุธยาของชาวต่างชาติในอดีตหลายร้อยปีที่ผ่านมา
ในสมัยสมเด็จพระชัยราชาธิราชพระมหากษัตริย์ลำดับที่ ๑๓ แห่งกรุงศรีอยุธยา (ขึ้นครองราชย์เมื่อ
พ.ศ.๒๐๗๗) เมื่อเกิดสงครามไทยกับพม่าปรากฏมีทหารกองอาสาโปรตุเกสไปช่วยในกองทัพของพระองค์ และครั้นรบชนะพม่ากลับมาพระองค์ได้ปูนบำเหน็จความชอบแก่กองอาสาชาวโปรตุเกส พระราชทานที่ดินให้ตั้งบ้านเรือน ณ ตำบลบ้านดิน เหนือคลองตะเคียน ซึ่งต่อมาเรียกว่าหมู่บ้านโปรตุเกส และทรงอนุญาตให้สร้างวัดคริสต์ศาสนานิกายโรมันคาธอริคทำให้มีบาทหลวงเข้ามาเผยแพร่ศาสนาในอยุธยาตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
ในรัชสมัยต่อ ๆ มา มีชาวต่างชาติ ต่างศาสนา เดินทางเข้ามาค้าขายในอยุธยามากขึ้น มีทั้งชาวคริสต์ อิสลาม เช่น ญี่ปุ่น ฮอลันดา(วิลันดา) อังกฤษ สเปน เป็นต้น จึงเกิดมีชุมชนชาวต่างชาติอื่น ๆ ขึ้นในกรุงศรีอยุธยา อีกหลายชุมชน ชาวต่างชาติที่เข้ามามีทั้งพวกมาค้าขาย และหนีภัยการเมือง ภัยศาสนามาจากประเทศของตน หลายคนได้รับราชการมีตำแหน่งสูงในราชสำนัก
ชุมชนชาวโปรตุเกสในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชเป็นชุมชนใหญ่ เป็นที่ตั้งของโบสถ์ถึง ๓ โบสถ์ คือ โบสถ์คณะโดมินิกัน โบสถ์คณะฟรานซีสกัน และโบสถ์ของคณะเยซูอิต แต่สงครามและความขัดแย้งทำให้ถูกทำลาย เหลือไว้แต่ซากปรักหักพังไว้เป็นหลักฐานร่องรอย...
แม่น้ำเจ้าพระยายังคงไหลไปทิศทางเดิม อาคารบ้านเรือนที่ผุดพรายขึ้นมาใหม่นั้นต่างหากที่เปลี่ยนแปลงไป ฉันก้าวเดินออกจากอาคารที่สร้างครอบโครงกระดูกใต้ดิน ออกมาด้านหน้าที่เป็นศาลาท่าน้ำ
มองไปฝั่งตรงกันข้ามเห็นอาคารสีขาวที่ตั้งแห่งหมู่บ้านญี่ปุ่นในอดีต และได้รับการปรับปรุงฟื้นฟูให้เป็นแหล่งศึกษาเรื่องราวร่องรอยแต่หนหลังเช่นเดียวกับที่นี่ ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ริมท่าน้ำ ในอดีตการสัญจรไปมาที่สะดวกที่สุดคือทางเรือ อาคารบ้านเรือนจึงมักสร้างอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ ลำคลอง ในวันสำคัญทางศาสนาสถานที่แห่งนี้คงคึกคักเต็มไปด้วยผู้คนผู้มาเข้ารีตหลากหลายเชื้อชาติ
“จะค่ำแล้ว กลับกันเถอะนะ” เสียงเพื่อนเตือนมา เรียกฉันตื่นจากห้วงภวังค์ จึงสาวเท้าอย่างรวดเร็วจะขึ้นรถ
อุ๊บ...
ท้าวของฉันสะดุดอะไรบางอย่างทำให้เกือบเสียหลัก
“ลูกตาลน่ะ” คนขับรถบอกยิ้มๆ ฉันก้มลงมองลูกไม้กลม ๆ ที่หล่นกลิ้งขวางทางเดิน ใช้เท้าเขี่ยออกแล้วก้าวเดิน
แต่...เจ้ากรรมตาลลูกนั้นไม่ยอมกลิ้งไปไหน เหมือนมีนัยน์ตาจ้องมองออกมาวิงวอนต้องใช้มือช้อนขึ้นมาอุ้มไว้
“เอาไปทำไมหนักจะตาย” เพื่อนติงแต่เธอก็รับไปใส่ลงกระเป๋าสะพายนำมาวางที่โต๊ะนั้นจนได้ และมันก็ปลุกฉันขึ้นมากลางดึกอยู่เดี๋ยวนี้
“พรุ่งนี้กลับไปหมู่บ้านโปรตุเกสอีกหน่อยนะ” ฉันบอกเพื่อนก่อนล้มตัวลงนอน
“อ้าวไหนว่าจะไปหมู่บ้านญี่ปุ่นฝั่งตรงข้ามไง กลับไปทำไมที่นั่นไม่เห็นมีอะไร”
แล้วเพื่อนก็บ่นไปยืดยาว ตามประสาคนใส่เสื้อสี ฉันตอบเบา ๆ ว่า “อยากไปดูว่าโครงกระดูกอีก ว่ามีที่เป็นโครงร่างของเด็กด้วยบ้างไหม”
เพื่อนจะตอบว่าอย่างไรฉันก็ไม่ได้ยินหรอก เพราะได้ยินแต่เสียงหัวเราะชอบใจดังพริ้วมาจากโต๊ะตัวเตี้ยใกล้ปลายเตียงดังอยู่แว่ว ๆ ก่อนจะหลับไป
๐๐๐๐๐๐