คึดฮอดเมืองลาว 6
บันทึกจากภูน้อย แขวงจำปาศักดิ์
เอื้อยนาง
บุญทอดกฐิน ผ้าป่า คือสาเหตุที่ง่ายที่สุดที่ผู้คนแถบถิ่นฝั่งไทยใกล้โขงจะได้ออกไปเยี่ยมยามพี่น้องป้องปลายฝั่งลาว โดยเฉพาะบรรพบุรุษฝ่ายแม่ของเอื้อยนาง คือ พ่อใหญ่ ผาย อารีย์กุล นั้นพากันอพยพมาจากจำปาศักดิ์ มาตามลำน้ำโขง น้ำมูล จนขึ้นลำโดมใหญ่ จึงมีเรื่องเล่า มีตำนานเกี่ยวกับดินแดนแถบนั้นให้เราเหล่าลูกหลาน เหลน ใฝ่ฝัน ว่าสักวันจะได้ไปพบเจอ
บ่ายคล้อยวันหนึ่ง เป็นช่วงปลาย ๆ เมษายนหลังสงกรานต์ รถตู้ ๓ คัน บรรทุกชาวคณะพุทธศาสนิกชนจากฝั่งไทย ข้ามไปฝั่งลาวใต้ แขวงจำปาศักดิ์ ปีนป่ายไต่อ้อมวกวนขึ้นสู่ภูสูง เพื่อไปทำบุญที่วัดหนึ่งซึ่งตั้งอยู่บนยอดเขาสูงริมฝั่งแม่น้ำโขง ชื่อ วัดภูน้อย
ริมโขง ชีวิตที่เย็นฉ่ำ
พระอาทิตย์ยามเย็นส่งลำแสงสีทองอาบไล้ทั่วไพรพฤกษ์ โค้งฟ้าที่เห็นอยู่ลิบ ๆ โน้นคือขงเขตประเทศไทย เส้นสายสีขาวคดโค้งโน้นคือแม่น้ำโขง หากนั่งเรือทวนน้ำขึ้นไปจากภูน้อยนี้ครึ่งวันก็จะถึงบ้านเวินบึก หมู่บ้านสุดท้ายของแม่น้ำโขงในเขตไทย
นกหมู่หนึ่งบินลิบ ๆ ข้ามโขงสู่ภูเขาฝั่งไทย ไม่นำพาเขตแดน ผิดกับคนบนสองฝั่งโขงที่ต้องทำบัตรผ่านแดน จึงจะผ่านสู่อีกฝั่งได้
แต่รถขึ้นไปไม่ถึงยอดภูบริเวณที่ตั้งวัดหรอกนะ ต้องจอดไว้ที่ลานหินเบื้องล่างแล้วลงเดิน ปีน ไต่โขดหินกันขึ้นที่สูงชันอีกไกลโข แต่ไม่มีใครบ่นสักคำ ทั้ง ๆ ชาวคณะส่วนมากเป็นผู้สูงอายุทั้งนั้น นับว่าศรัทธาแรงกล้าจริง ๆ
แม่หญิงลาวนุ่งซิ่นงามแท้ๆ
สิ่งแรกที่กระทบสายตาเมื่อปีนขึ้นมาบนลานโล่งยอดภู คือท่ามกลางแสงทองขมิ้นแห่งตะวันยามยอแสงนั้น มีสีสันจ้านจ้าของดอกไม้ป่าหลากพันธุ์ที่บานยามแล้งร้อน เช่น ดอกคูน ดอกจาน(ทองกวาว) ดอกรัง ดอกตะแบก ฯลฯ ถูกมัดเป็นกลุ่ม เป็นกำ เป็นพวง เป็นพุ่มระย้า ระย้อยอยู่ตรงซุ้มประตูเข้าวัด ตลอดต้นเสาทุกต้นในปะรำชั่วคราวกลางลานวัด กับชาวบ้านที่มีใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มมาต้อนรับ ทำให้ความเหน็ดเหนื่อยจากการปีนโขดหินขึ้นมาหายวับ
เมื่อแสงตะวันลับหาย เดือนเสี้ยวสีซีดก็โผล่มาลอยคว้างอยู่เหนือทิวไม้ คล้ายจะมาเยี่ยม ๆ มอง ๆ ผองชนผู้สาละวนกันอยู่บนยอดภูน้อย ไม่นานนักแสงสีเหลืองของดวงไฟจากเครื่องปั่นก็ขับไล่แสงสีซีดจางของดวงเดือนที่กำลังถอยร่นจากขอบฟ้า ลมอ่อน ๆ พัดกระดาษสายรุ้งหลากสีให้ไหวระริก ผู้คนลาว-ไทย โอภาปราศรัย สรวญเสกัน เสียงดังระงม อาหารการกินถูกยกมา ในขณะหลาย ๆ คนสาละวนจะเข้าห้องน้ำ และอาบน้ำอาบท่า
อดีตการทำไม้ฝั่งลาว เหมือนที่เคยเกิดฝั่งไทย
นี่เป็นวัดเล็ก ๆ บนยอดภู ความไม่สะดวกสบายย่อมมีเป็นปรกติ วิถีชีวิตของคนที่นี่ทำให้ คณะศรัทธาจากไทยทั้งหลายได้หวนคิดย้อนหลังไปถึงตัวเองเมื่อ ๕๐ ปีที่แล้ว จะไปห้องน้ำต้องหาไฟฉาย และไปกันเป็นกลุ่ม ได้เรียกเอิ้นเตินกันตุ้มโฮม(ร้องเรียกหากันด้วยน้ำใจไมตรี)เสียงเอะอะ เจี๊ยวจ๊าว ช่างเป็นความรูสึกที่อบอุ่น ใกล้ชิด
ในความมืดที่ทุกคนหวาดกลัวนั้น ครั้นถึงตอนอาบน้ำ ความมืดกลับกลาย
เป็นมิตรที่ใจดีไปโดยพลัน เพราะห้องอาบน้ำคือลานโล่งโปร่งสบายในสายลม จะมีบ้างก็เพียงพุ่มไม้ใบบางให้ได้ตั้งตุ่มน้ำไว้อิงแอบเท่านั้น ดังนั้นม่านกั้นสายตาผู้คนอย่างดีก็คือความมืดนั่นเอง
บ่อบาดาลอยู่ถัดไปทางด้านศาลาการเปรียญ มีเสียงหัวร่อต่อกระซิกของหนุ่มสาวชาวบ้าน ผู้มาช่วยงาน ดังพริ้งเพราะเหมือนใครเคาะระฆังในความวังเวงดังขึ้นสลับกับเสียงเทน้ำรินไหลลงในตุ่ม ให้พวกเราชาวคณะได้อาบอย่างสบาย
น้องจับมือซ้าย อ้ายจับมือขวา สองรา สองแรงช่วยกันโยกคันน้ำบาดาล ให้สายน้ำหลั่งไหลลงในถัง ในครุ แล้วน้องก็ใช้มือซ้าย ช่วยอ้ายที่ใช้มือขวาหิ้วถังน้ำมาเทลงในตุ่ม
อดีตวังเจ้าบุญอุ้ม
เสียงสาว ๆ หนุ่ม ๆ ชาวลาวที่ช่วยกันลำเลียงน้ำ เป็นคู่ ๆ หัวร่อต่อกระซิกระริกหวาน ฉุดหัวใจคนคอยอาบน้ำอยู่ข้างตุ่มให้เพริด
นี่กระมังคือเสน่ห์แห่งวิถีลาวที่เราใฝ่หา อยากย้อนไป อยากได้กลับคืนมา หรือแค่ได้รำลึกถึงวันเก่า ๆ เท่านั้นก็ยังดี หากมีการตุ้ม โฮม(รวบรวม) กองกฐิน ป่าผ้าข้ามฝั่งทีไร ต้องวิ่งแจ้นแล่นไปด้วยแทบทุกครั้ง
เพราะความเป็นลาววันนี้ก็คือเงาของเราเอง เงาที่เราลืมหลงไปนานแต่มันไม่เคยหนีหายไปไหน ยังทอดยาวออกมาให้เห็นทุกครั้งที่มีแสงส่องกระทบ
๐๐๐๐๐๐