บ้านทุ่งแสนสุข
ตอน 24. ฝนมาฟ้าคำราม ห้ามออกจากเรือน
โดย มณีดิน
แต่ละวันที่ผันผ่าน แต่ละคืนที่เนิ่นนาน ในยามที่อากาศร้อนระอุ แสงสว่างวาบบนท้องฟ้าเรียกว่าฟ้าแลบ พลันทันใดก็ตามด้วยเสียงฟ้าร้องคำราม ครืนใหญ่ มันช่างรบกวนความสนุกคะนองของพวกเราเหล่าทะโมนเสียจริง
ยิ่งยามแล้งร้อนของเดือนเมษายน ยิ่งร้อนรุ่ม จะออกไปเล่นซ่อนแอบหลังหมู่บ้านบนลานโล่งที่เป็นลานนวดข้าวป้าจำปีก็ไม่ได้
“ฟ้าคะนองหน้าแล้งอย่างนี้ ฟ้าผ่าได้ง่ายๆ ไม่ต้องออกไปเล่นนะ”
เสียงแม่กำราบมาจากชานเรือน แม่กำลังเก็บงำทุกอย่างที่อาจจะถูกลมพัดกระเด็นไปหรือถูกฝนสาดหากฝนเกิดเทลงมา
“วิทยุก็ดังอู้อี้นะแม่ ฟังละครก็ไม่รู้เรื่อง ฟ้าแลบที ฟ้าร้องที เสียงดังแอ้บๆๆ” ผมตะโกนย้อนไปดังๆ แข่งกับเสียงฟ้าที่คำรามใส่พอดี
“มาช่วยแม่ชักบานหน้าต่างสังกะสีนี่เถอะ ลมพัดแรงจนแม่จะจับไม่ไหว”
แม่เรียก ผมเดินไปจับด้ามไม้ค้ำประตู ปลดออกจากขอบหน้าต่าง แม่เอื้อมมือขึ้นไปจับกรอบหน้าต่างบานค้ำใบใหญ่แล้วค่อยๆลดระดับลงมาจนปิดเข้ากรอบสนิท ผมวิ่งไปลงกลอนซ้ำ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าเมื่อลมฝนเทลงมาบานหน้าต่างจะไม่เผยอออก
เมื่อบานหน้าต่างข้างชานปิดสนิทก็เหมือนว่าปิดฉากการเห็นเดือนเห็นดาวแล้วคราวนี้ ผมเดินไปนั่งแหมะใกล้ทุยที่นอนแนบหมอนเล็กๆ ฟังเสียงละครจากวิทยุที่กำลังออกอากาศ ขุนดง เรื่องราวที่เล่าขานถึงตำนานคนสู้คนของพระเอกคนยาก ทุยยิ้มแล้วพลิกนอนหงาย หัวเราะเสียงดัง ผมหันไปมองท่าทีที่ทุยทำ ไม่เข้าใจหัวเราะทำไม ในเมื่อละครวิทยุก็ยังไม่เห็นจะมีบทตลกขบขัน
“หัวเราะอะไร ฮึ” ผมอดใจไม่ไหวจึงถาม
“หัวเราะเสือติดจั่นน่ะซิ” พูดจบก็หัวเราะเหมือนว่าขบขันเสียเต็มประดา
“เสือที่ไหนวะ” ผมยังไม่เข้าใจความหมายของทุย
“ก็...เสือดำ...นี่ไง ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ” ทุยชี้มือมาที่ผมแล้วก็หัวเราะอีกกราวใหญ่ๆ
ผมทุบไปบนหัวมันเป๊กหนึ่ง พร้อมกับผรุสวาท “เหี้ย วอนนะมึง”
ผมเดินไปหน้าบ้าน ชะเง้อมองแสงฟ้าแลบแปลบๆ แล้วเดินวนกลับมานั่งจุ้มปุ๊กข้างทุย ผมไม่มีทางไปไหนเสียแล้วคืนนี้ เสริมกับเฮี้ยงก็คงไม่ได้ออกไปที่ลาน มันน่าจะเป็นเสือติดจั่นเหมือนกันละกระมัง พ่อนั่งสูบบุหรี่อยู่ริมหน้าต่าง แม่เดินเข้าไปในเรือนเตรียมนอน พี่เจนหลับไปแล้วตามเคย นึกขำๆก็เหลือแต่ไอ้ควายทุยกับเสือดำติดจั่นอยู่นี่แหละ ยังไม่หลับไม่นอน
เสียงเม็ดฝนสาดซ่าลงบนหลังคาสังกะสี เสียงนี้นี่แหละที่ทำให้ทั้งทุยและผมหลับลงได้ วิทยุบอดสนิทเมื่อเสียงฝนกระแทกสังกะสี สองพี่น้องต้องคลานไปหาที่นอนข้างพี่เจน
หลังฝนตก กบเขียดเริงร่า ปลาหมอกลม(ตาล)กับปลาดุกจะตะกายด้วยเหงือกออกจากบ่อบ้านป้าจำปีมาที่ลานนวดข้าว ถ้าฝนยังตกมากขึ้นมันจะแถกเหงือกจนลงไปถึงคลองลัด เป็นธรรมชาติของปลาสองชนิดนี้ เป็นอีกวิถีหนึ่งที่พวกเราเคยไปดักจับปลาเห่อน้ำใหม่มากินกัน แต่ฝนแรกฟ้าคะนอง แม่จึงห้ามไว้ ผมนึกในใจ รอฝนสองฝนสามเถอะ จะชวนเสริมกับเฮี้ยงออกไปล่าปลาหนีบ่อกัน
ฝนหยุดตกเมื่อไรหนอ ผมหลับไปเมื่อไรหนอ ผมคิดไม่ออกบอกไม่ถูก ด้วยว่าเสียงไพเราะของเม็ดฝนกระแทกสังกะสีกล่อมจนเพลิน เผลอหลับใหลไม่สมประดี
เมื่อฝนตก อากาศที่ร้อนอบอ้าวมะลายไป ความเย็นชื้นเข้ามาแทนที่ เป็นการนอนหลับที่ฝันดีมีความสุข ผมไม่ชอบเมื่อฝนทำท่าว่าจะตก เพราะว่าจะออกไปเล่นที่ไหนก็ไม่ได้ แต่ผมชอบจริงๆ เมื่อฝนตกลงมาแล้วเย็นสบาย คิดดูก็ช่างหลายใจเสียจริง
ช่วงเวลาที่โรงเรียนปิดภาคปลาย สบายที่ไม่ต้องตื่นแต่เช้าเพื่อช่วยแม่หาบน้ำใส่ตุ่มตีนบันไดบ้าน และไม่ต้องรดน้ำผักหญ้าที่แม่ปลูกเอาไว้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ต้องทำ เพียงแต่ตื่นสายๆก็ค่อยทำได้ มีแต่พี่เจนกับแม่เท่านั้นที่ไม่เคยมีวันหยุด หรือเวลาพักผ่อนก่อนตะวันชิงพลบ และก็ไม่เคยได้นอนจนหลังนกกาออกจากรัง
“ต้องตื่นก่อนกา ต้องออกไปทำงานช่วงเช้าให้เสร็จ ก่อนหาอาหารการกินใส่ท้อง ต้องเตรียมตัวไปโรงเรียน โตขึ้นจะได้ไม่ต้องลำบาก” แม่พร่ำสอนแทบจะเป็นกลอน
ศาลาการเปรียญเตรียมทำบุญ
“ครูสุขมาเมื่อเช้า บอกว่ามะรืนนี้ให้นักเรียนไปโรงเรียน ไปช่วยกันจัดเก็บโต๊ะเก้าอี้ หลวงตาตั๋นจะใช้ศาลาการเปรียญเตรียมงานบุญวันสงกรานต์”
แม่เล่าให้ฟังก็เหมือนครูสุขมาสั่งด้วยตนเอง แม่ไม่มีลืมคำสั่งครู ถ้าผมและทุยลืมแม่ก็จะเตือนเมื่อถึงเวลาที่มาถึง
ถึงกำหนดนัดหมาย ครูสุขเดินหิ้วปิ่นโตเถา 4 มาด้วย นักเรียนเดินตามกันมาเป็นหาง ทั้งชายและหญิง มากันทุกชั้นแม้แต่ทุยก็ต้องเตรียมตัวไป
“เด็กชายดำกับเด็กชายทุย พร้อมจะเดินไปกับครูไหมล่ะ” เสียงครูสุขตะโกนดังลั่น
ผมกับทุยรีบวิ่งออกมาสมทบ แต่ในมือไม่ได้หิ้วปิ่นโตข้าวกลางวัน นักเรียนเดินตามกันไปจนถึงโรงเรียนซึ่งก็คือศาลาการเปรียญหลังเดียวที่มีอยู่ วันนี้เป็นงานพัฒนา ไม่เข้าชั้นเรียนเหมือนวันอื่นๆ จึงไม่มีการตั้งแถวเคารพธงชาติ ครูอวบครูใหญ่ยืนสง่าอยู่บนศาลาแล้ว ครูสุข ครูสง่า ครูนิพนธ์ เดินเข้าไปสมทบแล้วก็แยกย้ายกันทำหน้าที่
นักเรียนชายชั้นป.3-4 มีหน้าที่ยกโต๊ะเรียนไปจัดเรียงเข้ามุมศาลา นักเรียนหญิงทุกคนถือไม้กวาดและผ้าเช็ดพื้นพร้อมกระแป๋งน้ำเตรียมถูพื้นศาลา นักเรียนชายชั้นป.1-2 มีหน้าที่ยกเก้าอี้ไปทับซ้อนบนโต๊ะนักเรียน เสียงเด็กๆพูดคุยกันดังระงม ยังกับกบเขียดยามได้ฝนแรก ครูเดินตรวจตราแล้วก็เอามือลูบหัวทีละคนด้วยความเอ็นดู เป็นภาพความสุขสมัยยังเป็นนักเรียนเล็กๆที่ผมจำติดตาตรึงใจไม่ลืม