เหรียญอีกด้าน...ความจริงของเขื่อนแม่วงก์
โดย เธียร ภัทรา เรื่อง-ภาพ
หากค้นหาคำว่า "โครงการเขื่อนแม่วงก์" ใน Google.co.th ก็จะเห็นคำเหล่านี้ขึ้นมาทันที "คัดค้านเขื่อนแม่วงก์..., หยุดเขื่อนแม่วงก์... เขื่อนแม่วงก์ยังไม่ผ่านEHIA... กลุ่มต้านเขื่อนแม่วงก์ เดินทางเข้ากรุงคัดค้าน EHIA.... สะเอียบแถลงการณ์หยุดเขื่อนแม่วงก์..... ฯลฯ" ข้อมูลที่เหล่านี้ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องลบทั้งสิ้น จนทำให้รู้สึกว่า ทุกคนคัดค้านการสร้างเขื่อนแม่วงก์ ทั้งๆที่ความเป็นจริงแล้วไม่ใช่เลย !
หากเดินเข้าไปในพื้นที่ที่จะสร้างเขื่อนแม่วงก์ ที่บ้านเขาสบกก ตำบลแม่เลย์ อำเภอแม่วงก์ จังหวัดนครสวรรค์ หรือพื้นที่ใกล้เคียง ถามชาวบ้านที่นั่น ถามผู้นำชุมชนที่นั่นแล้วจะรู้ว่า กว่า 95 % ต้องการให้สร้างเขื่อนแม่วงก์ เพราะเขาเดือดร้อนจริงๆ ทั้งปัญหาน้ำท่วมหลายต่อหลายครั้งในฤดูฝน และปัญหาขาดแคลนน้ำในฤดูแล้ง ซ้ำซาก สร้างความเสียหายไม่มีที่สิ้นสุด
ขณะเดียวกันก็มีชาวบ้านในพื้นที่อำเภอแม่วงก์ จังหวัดนครสวรรค์เดินทางเข้ามาในกรุงเทพฯเพื่อยื่นหนังสือต่อกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้เร่งผลักดันโครงการ เนื่องจากได้รับผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วมทุกปี ล่าสุดเม่ื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา น้ำก็ยังท่วม จนทำให้พืชผลทางการเกษตรเสียหาย อีกด้วย
โครงการเขื่อนแม่วงก์เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2528 หรือประมาณ 28 ปีที่แล้ว รัฐบาลญี่ปุ่น โดย JICA ได้สนับสนุนให้ทำการสำรวจความเป็นไปได้ทางด้านวิศวกรรมและเศรษฐกิจในการสร้างเขื่อนแม่วงก์ ในปี 2526 เกิดน้ำท่วมใหญ่ในเขตหลายอำเภอของจังหวัดนครสวรรค์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนครสวรรค์ ชาวบ้าน ข้าราชการ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้นำชุมชนในพื้นทีี่ได้เรียกร้องให้มีการสร้างเขื่อน ซึ่งสอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 5 (พ.ศ.2525-2529) ที่ได้บรรจุโครงการพัฒนาลุ่มน้ำสะแกกรังไว้ในแผนด้วย ต่อในปี 2532 คณะรัฐมนตรีให้อนุมัติในหลักการให้กรมชลประทานจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) โครงการเขื่อนแม่วงก์ เพิ่มเติมจากของ JICA
ปี 2533 กรมชลประทานได้ให้มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม และในปี 2536 คณะสำรวจได้ทำการสำรวจสัตว์ป่าหายากในบริเวณที่จะก่อสร้างโครงการ ตามที่กลุ่มอนุรักษ์ร้อนเรียนแต่ไม่พบ ต่อมาในปี 2537 การศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมพร้อมแผนแก้ไขแล้วเสร็จ และในปีเดียวกันประชาชนชาวนครสวรค์ได้แสดงประชามติเห็นด้วยกับการสร้างเขื่อนแม่วงก์ แต่ก็ไม่สามารถก่อสร้างได้....
ตลอดระยะเวลาตั้งแต่ปี 2537 – 2554 สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ได้มีการพิจารณารายงานการผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) แล้วถึง 10 ครั้ง และคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติพิจารณาไปแล้ว 4 ครั้ง แต่โครงการเขื่อนแม่วงก์ก็ยังไม่ก้าวหน้า
ต่อมาหลังจากเกิดมหาอุทกภัยในปี 2554 คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ(กบอช.) ได้นำโครงการเขื่อนแม่วงก์ บรรจุไว้ในแผนก่อสร้างระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืนและระบบแก้ปัญหา
อุทกภัยของประเทศไทย หรือที่เรียกกันว่า โครงการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 3.5 แสนล้านบาท
ในปี 2555 คณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือ คชก. ให้กรมชลประทานไปทำการศึกษา การวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมสำหรับโครงการหรือกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรง ทั้งด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ (EHIA) เพิ่มเติม เพื่อให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 มาตรา 67 วรรค 2
EHIA แตกต่างจาก EIA อย่างไร?
EIA (Environmental Impact Assessment ) หมายถึง การใช้หลักวิชาการในการทำนาย หรือคาดการณ์ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมทั้งทางบวกและทางลบที่อาจเกิดขึ้นจากการพัฒนาโครงการใน 4 ด้าน อันได้แก่ 1.ทรัพยากรสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ เช่น อากาศ น้ำ ดิน 2. ทรัพยากรทางชีวภาพ เช่น สัตว์ พืช หรือ สิ่งมีชีวิตอื่นๆ 3.คุณค่าการใช้ประโยชฯของมนุษย์ เช่น ถนน ไฟฟ้า น้ำดื่ม/น้ำใช้ และ 4. คุณค่าต่อคุณภาพชีวิต ในประเด็นเศรษฐกิจ สังคม หรือสาธารณสุข เป็นต้น เพื่อจะได้หาทางป้องกันผลกระทบในทางลบที่อาจเกิดขึ้นให้เกิดน้อยที่สุด ในขณะเดียวกัน ก็มีการใช้ทรัพยากรธรรมชาติได้อย่างมีประโยชน์ มีประสิทธิภาพและคุ้มค่าที่สุด พร้อมทั้งจัดทำมาตรการและแผนปฏิบัติการเพื่อป้องกันแก้ไขผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น ตลอดจนจะต้องมีงบประมาณรองรับแผนเพื่อให้สารถดำเนินกิจกรรมตามแผนป้องกันแก้ไขผลกระทบได้อย่างเป็นรูปธรรมและมีประสิทธิภาพ
ส่วนEHIA (Environment and Health Impact Assessment) หมายถึง กระบวนการประเมินผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นจากการพัฒนาโครงการ ทั้งนี้ได้ขยายมิติทางสุขภาพออกไปให้กว้างขึ้นจากที่มีอยู่เดิมใน EIA และสร้างความเชื่อมโยงระหว่างปัจจัยกำหนดสุขภาพกับปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ สังคม ระบบบบริการสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพ นับเป็นกระบวนการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่ครบทุกมิติ รวมทั้ง EHIA ยังเป็นกระบวนการที่ดีที่ได้กำหนดให้มีกระบวนการมีส่วนร่วมและรับฟังข้อห่วงกังวลต่างๆ จากประชาชนและผู้มีส่วนได้เสียไว้อย่างชัดเจน
คชก. ได้ประชุมพิจารณารายงาน EHIA ครั้งแรกเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2555 และครั้งต่อมาเมื่อเดือนพฤษภาคม 2556 โดยให้กรมชลประทานต้องปรับปรุงแก้ไขและเสนอข้อมูลเพิ่มเติมนั้นจำนวนทั้งสิ้น 11 ประเด็นหลัก ประกอบด้วย ข้อมูลพื้นฐานในการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม การเลือกพื้นที่หัวงาน อุทกธรณีวิทยาและน้ำใต้ดิน ทรัพยากรป่าไม้ ทรัพยากรสัตว์ป่า นิเวศวิทยาทางน้ำและการประมง การบริหารจัดการอุทยาน การท่องเที่ยวและการพักผ่อนหย่อนใจ การประเมินผลกระทบด้านสุขภาพ สภาพเศรษฐกิจสังคมและการมีส่วนร่วมประชาชน และประเด็นรายละเอียดของดินและน้ำ
เมื่่อกรมชลประทานเสนอคำชี้แจงกลับมา ในวันที่ 26 กรกฎาคม 2556 คชก. เห็นว่า มี 7 ประเด็นที่ต้องเพิ่มเติมรายละเอียดในคำชี้แจง คือ เศรษฐศาสตร์และเศรษฐศาสตร์สิ่งแวดล้อม ข้อมูลแผนที่ ทรัพยากรป่าไม้ ทรัพยากรสัตว์ป่า การบริหารจัดการอุทยานและการท่องเที่ยว สภาพเศรษฐกิจสังคม และประเด็นรายละเอียดของดินและน้ำ
ดร.สมเกียรติ ประจำวงษ์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารโครงการ กรมชลประทาน เปิดเผยว่า ขณะนี้กรมชลประทานได้เสนอ รายงานชี้แจงเพิ่มเติมใน 7 ประเด็นดังกล่าว ให้คชก. พิจารณาแล้ว หาก คชก.เห็นชอบ ก็จะนำ
รายงาน EHIA ที่ได้ปรับปรุงตามข้อคิดเห็นแล้วส่งให้องค์กรอิสระพิจารณาให้ความเห็น พร้อมทั้งจัดเวทีสาธารณะเพื่อรับฟังความคิดเห็นจากผู้ได้รับผลกระทบและประชาชนทั่วไป ก่อนที่จะนำเสนอต่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เพื่อพิจารณาว่าจะให้ดำเนินการอย่างไรต่อไป
นอกจากนี้รายงานดังกล่าว ยังได้เสนอแผนเพื่อแก้ไขผลกระทบที่อาจเกิดจากโครงการด้วย ยกตัวอย่างเช่น ด้านทรัพยากรป่าไม้ ที่ได้ประสานกับผู้นำชุมชนและประชาชนในพื้นที่เพื่อจะปลูกป่าทดแทน 30,000 ไร่จากการสูญเสียพื้นที่ป่า 14,952 ไร่ ซึ่งได้รับการตอบรับที่จะร่วมมือปลูกป่าเป็นลายลักษณ์อักษรจากองค์การบริหารส่วนตำบลปางมะค่า จังหวัดกำแพงเพชร และองค์การบริหารส่วนตำบลแม่เล่ย์ จังหวัดนครสวรรค์ หรือการบริหารจัดการอุทยานแห่งชาติ และท่องเที่ยว
ส่วนผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในทางสุขภาพของประชาชนทั้งด้านกายภาพ ชีวภาพ เคมี หรือสุขภาพจิตหากมีการก่อสร้างโครงการ ฯ ก็จะได้ประสานกับสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข และกรมควบคุมโรคจัดทำมาตรการป้องกันแก้ไขผลกระทบทั้งหมดพร้อมกันกับมาตรการติดตามตรวจสอบการทำงานด้วย เป็นต้น
กรณีที่มูลนิธิสืบนาคะเสถียร ระบุว่า บริเวณที่จะสร้างเขื่อนแม่วงก์ เป็นพื้นที่ที่เหมะสมที่สุดในการขยายพันธุ์เสือโคร่งของผืนป่าฝั่งตะวันตกนั้น ได้มีการสำรวจแล้วโดยกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืชพบว่า บริเวณที่จะสร้างเขื่อน รวมทั้งบริเวณที่อยู่ใกล้เคียงกันในรัศมีประมาณ 2 กิโลเมตรนั้นไม่มีและไม่พบเสือ
เขื่อนแม่วงก์ แม้จะเป็นเขื่อนขนาดใหญ่ แต่เมื่อเทียบกับเขื่อนขนาดใหญ่หลายแห่งแล้ว เขื่อนแม่วงก์ถือว่า เป็นเขื่อนที่ไม่ใหญ่นัก เขื่อนภูมิพลกักเก็บน้ำได้ 13,462 ล้านลูกบาศก์เมตร เขื่อนสิริกิติ์กักเก็บน้ำได้ 9,510 ล้านลูกบาศก์เมตร เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน กักเก็บน้ำได้ 939 ล้านลูกบาศก์เมตร เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ กักเก็บน้ำได้ 785 ล้านลูกบาศก์เมตร ในขณะที่เขื่อนแม่วงก์ หากสามารถก่อสร้างแล้วเสร็จจะมีความจุในระดับกักเก็บอยู่ที่ 258 ล้านลูกบาศก์เมตรเท่านั้น กระทบต่อพื้นที่ป่าไม่มาก และยังอยู่บริเวณชายขอบอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ ที่เคยเป็นป่าเสื่อมโทรมมาแล้วอีกด้วย
ผืนป่าตะวันตก มีพื้นที่รวม 11,706,586 ไร่ ในขณะที่เขื่อนแม่วงก์จะใช้พื้นที่เพียง 12,375 ไร่ หรือ ประมาณ 0.1 % เท่านั้นซึ่งถือว่าน้อยมากๆ
หากพื้นที่สร้างเขื่อนมีเสือโคร่งจริงๆ (แต่การจากสำรวจแล้วไม่พบ) เสือจะปล่อยให้ตัวเองจมน้ำตายหรือครับ ทั้งๆที่ยังมีพื้นที่ป่าเหลืออีก 99.9 %
โครงการเขื่อนแม่วงก์ มีการศึกษามากกว่าโครงการพัฒนาแหล่งน้ำทุกๆโครงการ ยาวนานมาเกือบจะครบ 30 ปีแล้ว ชาวบ้านในพื้นที่ก็เรียกร้อง รอคอย น่าจะหันมามองประโยชน์ที่จะได้รับจากเขื่อนแห่งนี้บ้างนะครับ
เมื่อเขื่อนแม่วงก์ก่อสร้างเสร็จจะช่วยบรรเทาปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ และช่วยตัดยอดน้ำจากลุ่มน้ำสะแกกรังที่จะไหลลงสู่ลุ่มเจ้าพระยา รวมทั้งยังจะช่วยแก้ปัญหาขาดแคลนน้ำในฤดูแล้ง โดยจะสามารถขยายพื้นที่ชลประทานในฤดูฝนได้ 291,900 ไร่ และพื้นที่ในฤดูแล้ง 116,545 ไร่ นอกจากนี้ยังจะสร้างประโยชน์ในด้านการท่องเที่ยว การประมง ซึ่งจะทำให้สภาพทางเศรษฐกิจ ยกระดับรายได้ของชาวบ้านให้มีความเป็นอยู่ดีขึ้น รวมทั้งยังมีประโยชน์ด้านการป้องกันไฟป่า การบุกรุกป่า อีกด้วย
เหรียญยังมี 2 ด้าน ลองกลับเหรียญอีกด้าน ขึ้นมาพิจารณาบ้างว่าเป็นอย่างไร?
.....ถึงเวลาหรือยังที่จะต้องตัดสินใจว่า จะสร้างเขื่อนแม่วงก์หรือไม่ ?