ในคมขวาน ๑๒
โดย สาวภูไท
จากบ้านเชียง ถึง คำชะโนด อุดรธานี(๑)
อุดรธานี ช่วงนี้เป็นที่รู้จักของคนทั่วไปเพราะข่าวร้อน ๆ ทางการเมือง ซึ่งเป็นเรื่องน่าหวาดหวั่นเช่นกันกับข่าวกทม.ถูกปิดโดย กปปส. แต่จริง ๆ แล้วประตูกทม.ก็ยังไม่ปิดตาย เช่นกับอุดรธานียังมีที่ให้ผ่อนพัก เป็นหลักยึดทางจิตใจอีกหลาย ๆ แห่ง
เย็นวันที่ ๓๑ มกราคม ๕๗ ก่อนวันเลือกตั้ง ๒ วันจึงพาตัวแหวกออกจากดงควันของกทม.ขึ้นรถด่วนสายหนองคายมุ่งหน้าสู่อุดรธานี
ตู้(นอน)โดยสารตู้นี้มีฝรั่งกับคนลาวชาวเวียงจันทน์เป็นส่วนใหญ่ คุยกันดังลั่นโฉงเฉง ไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับชาวกทม.ที่กลัว ๆ อยาก ๆ ออกไปเลือกตั้ง แต่ฟังๆ ดูๆ นักคุยเหล่านี้แล้วก็เพลินไปด้วย รู้สึกผ่อนคลายจากเหตุการณ์บ้านเมืองไทยช่วงนี้ไปเยอะ เราเองต่างหากกระมังที่หมกมุ่นไหวเอนไปกับข่าวเน่า ๆ เรื่องเน่า ๆ จากเหตุการณ์เน่า ๆ เลยเป็นกบในกะลาเน่า ๆ หากแง้มเปิดกะลาออกให้ได้พบโลกภายนอกบ้าง ก็ได้พบว่าลมยังมีพัด แดดยังมีส่องสว่างใส
คิดได้ดังนั้นแล้วก็เลยหลับสบายในเตียงอันโยกไหวไปกับจังหวะการวิ่งของรถไฟ แม้ไม่ใช่ความเร็วสูงแต่ก็ถึงจุดหมายปลายทางอย่างปลอดภัย
เจ็ดโมงเช้ากว่า ๆ ของวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ก็จึงมาเอ้อระเหยอยู่ที่สถานีรถไฟ อุดรธานีที่มีหม้อไหลายเขียนสีบ้านเชียงตั้งเป็นกลุ่มสง่างามอยู่ท่ามกลางสวนหย่อมสีสันสดใสหน้าสถานี
หม้อบ้านเชียงเป็นสัญลักษณ์ของอุดรธานี เป็นหม้อที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก เพราะแหล่งกำเนิดของมันได้รับการจดทะเบียนเป็นมรดกโลกไปแล้วเมื่อปี ๒๕๓๕ ในฐานเป็นแหล่งโบราณคดีที่มีร่องรอยการอยู่อาศัยของมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ทิ้งหลักฐานที่พิสูจน์ได้ว่ามีอายุประมาณ ๕,๐๐๐ ปีมาแล้ว และที่พิสูจน์ไม่ได้เพราะกลายเป็นดิน เป็นหญ้า เป็นอากาศไปแล้วนั้นก็อาจมีอายุพร้อม ๆ กับการมีมนุษย์ในโลกไปโน่นก็ได้ ใครจะไปรู้จริงไหมคะ
หนุ่มอาร์ตรูปหล่อได้รับคำสั่งจากพี่เจิ้น และแม่น้อยให้ขับรถจากสกลนครมารับป้าถึงอุดรตอนแปดโมงกว่า ๆ เสร็จจากกาแฟอาหารเช้าพอดี เธอพามุ่งหน้าสู่อำเภอหนองหาน สู่บ้านเชียงด้วยใบหน้ายิ้มละไมตามนิสัยปรกติ
ถนนในอุดรธานีออกจะพลุกพล่าน เช่นกับเมืองใหญ่ทั้งหลายของสยามประเทศในปัจจุบัน (โชคดีที่ไม่มี กปปส.มาปิด) แต่ครั้นออกจากตัวเมืองสู่เส้นทางสายอุดร-สกลนครการจราจรก็เริ่มผ่อนคลาย ผ่านอำเภอหนองหานถึงทางแยกสู่บ้านเชียงรถก็แล่นไปแบบสบาย ๆ นาน ๆ จะมีรถสวนรถแซงสักคันหนึ่ง
ดินแดนอีสานแถบถิ่นนี้เคยเป็นที่ตั้งเมืองโบราณในตำนานอุรังคนิทานของลาว(ตำนานพระธาตุพนม)ระบุว่าเป็นเมืองหนองหานน้อย(คู่กับหนองหานหลวงที่สกลนคร) สภาพโดยทั่วไปในวันนี้ยังมีความเขียวของต้นไม้ใหญ่ริมถนนและบนคันคูนา แม้ว่าจะเป็นฤดูใบไม้ผลัดใบแต่ไม้หลายชนิดก็ผลิดอกออกมาแต่งแต้มแซมให้ฟ้ามีหลากสี สะเดาดอกขาวโพนแข่งกับเหลืองนวลของดอกมะม่วง และพะยอม หางนกยูงต้นใหญ่ออกดอกสีแดงบานแข่งดอกจาน ฉำฉานั้นกำลังทิ้งใบให้กิ่งเตียนโล้นและมีมัดฟางผูกเลี้ยงครั่งแขวนไว้แทน
ยังเช้าอยู่ บ้านเชียงยังสงบเงียบ วันใกล้เลือกตั้ง(พรุ่งนี้วันที่ ๒ กุมภา วันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทย)ควรจะคึกคักไปด้วยเสียงโฆษณาประชาสัมพันธ์มากกว่านี้ แต่นี่เป็นช่วงสถานการณ์พิเศษของสังคมไทย คงจะเป็นครั้งเดียวในประวัติศาสตร์ชาติไทยสยาม(ขอภาวนาให้เป็นอย่างนั้น)ที่มีการคัดค้านการเลือกตั้งโดยอำนาจพิเศษของไทยสยามเองอย่างออกหน้าออกตา เอาเป็นเอาตาย ถึงขนาดคนที่คิดว่าตัวเองฉลาดเหนือใครมีการอ้างว่าสิทธิการลงคะแนนว่าไม่ควรเท่าเทียมกันระหง่างชาวบ้านกับชาวเมือง ชาวกรุง เสียงปรามาสนั้นกระมังที่สยบให้ชาวบ้าน ชาวชนบททั้งหลายนิ่งสงบในตอนนี้ เพื่อที่จะแสดงพลังให้เห็นในตอนเข้าคูหาพรุ่งนี้
ทุกอย่างวันนี้จึงสงบนิ่ง เช่นกับบ้านเชียงที่สงบเย็นเช่นเดิม โครงกระดูกในตู้ ในไห และหม้อเขียนสียังนอนนิ่งรอผู้มาเยือนมาชม มาศึกษา เพื่อจะบอกให้รู้ว่าทุกสิ่งในโลกล้วนต้องคืนสู่ผืนดิน แก่งแย่งกันไปทำไม ไม่ต้องเข่นฆ่าถึงเวลาก็ต้องดับสูญไปตามกาลเวลาอยู่แล้ว
กระดูกในตู้บางชิ้นกับหม้อใบสวยลวดลายเป็นเอกลักษณ์ที่อยู่เคียงข้างอาจเคยเป็นของผู้มีอำนาจสูงสุดในอาณาจักรของเขา หรือเป็นผู้เป็นที่รักของคนทั้งอาณาจักรหม้อไหใบน้อยลายพร้อยด้วยการเขียนสี ขูดลวดลายสัญลักษณ์จอมขวัญ มิ่งชีวิตพร้อมเครื่องประดับคงเป็นสิ่งล้ำค่าที่สุดรักสุดหวงสุดชีวิตของเจ้าของ จึงถูกฝังไว้รวมกันเคียงข้าง ให้นำไปด้วยในอีกภพอีกแดน แต่สุดท้ายก็จมลึกลงใต้ดินต่ำลงไปเรื่อย ๆ ยิ่งอยู่ลึกยิ่งบอกเวลายาวนานออกไปเป็นยุค ๆ
ก่อนนั้นไม่มีใครในบ้ายเชียงจะไปคิดว่าหม้อไหแตก ๆ บิ่น ๆ อันมีอยู่มากมายใต้ผืนดิน ไม่ว่าจะขุด ไถ จกดินตรงไหนก็พบเจอแต่วันก่อนนั้น วันหนึ่งมันจะกลายเป็นสิ่งล้ำค่า เป็นที่ต้องการของผู้คน และเป็นมรดกให้ลูกหลานบ้านเชียงได้ทำการผลิตซ้ำขึ้นมากอบโกยเงินทอง สร้างฐานะ ส่งเสริมลูกหลานจนออกสู่สากล จนทุกวันนี้หลายครอบครัวมีกิจการขยายออกไปทั้งในและนอกประเทศ ลูกหลานบ้านเชียงบินข้ามเมืองหลวงสู่สากล เช่นกับชาวอีสานส่วนใหญ่ที่กลายเป็นคนสองสัญชาติ ไทย-ยุโรป อเมริกัน หรือออสเตรเลีย ชนิดที่ชนชั้นสูงในกรุงผู้ดูถูกชาวชนบทก็คงคาดไม่ถึง และยังงมโข่งหาเสื้อผ้า ปลากระป๋องและเครื่องห่มกันหนาวใส่ถุงมาทำบุญเพื่อถ่ายรูปกันอยู่
บ้านโฮมสเตย์ใกล้พิพิธภัณฑ์ที่เคยมาพักเมื่อตุลาที่แล้วยังคงปิดอยู่ จึงไม่ได้แวะทักทาย แม้ยังระลึกถึงคุณยายผู้อารีผู้นั้นอยู่ คุณยายเป็นผู้หนึ่งที่ขุดเจอโครงกระดูกและหม้อไหมากมายในสวน และแม้แต่ใต้ถุนบ้านหลังเก่าที่อยู่บนเนินดินใกล้วัด
“เจอแล้วเราก็กลบฝังไว้ดังเดิม ไม่อยากรบกวน ให้เขานอนอยู่ที่เก่านั่นแหละหลายคนในหมู่บ้านก็ทำอย่างนั้น เพราะหากขุดขึ้นมาช่วงนั้น(คุณยายหมายถึงช่วงที่มีการแตกตื่นจากคนภายนอกเข้ามาซอกค้นหาหม้อลายเขียนสี) เจ้านายเขาจะเอาไปหมด ชาวบ้านขุดมาขายว่าผิด แต่เจ้านายไทยไกล ๆ มาเอาไปไม่ผิด”
คิดถึงคำพูดของคุณยายแล้วก็เลยให้อาร์ตขับรถผ่านมุ่งหน้าสู่อำเภอบ้านดุงที่ตั้ง ดงศักดิ์สิทธิ์คำชะโนดต่อไป.
ลาก่อนนะบ้านเชียง