ในคมขวาน ๑๔
โดย สาวภูไท
เอ็นอ้า กับ เอื้องหมาย(ปลาย)นา
...
อยากกลับไปเป็นชาวนา
ไม่ใช่เพียงเพราะเรื่องโครงการจำนำข้าวที่อีรุงตุงนังนั่นหรอก
แต่เป็นเพราะมนต์เสน่ห์แห่งผืนนา กลิ่นอายดินยามถูกฝนแรกซะซัดหอมกรุ่นละไม กลิ่นใบกล้า ดอกข้าว กลิ่นปลาย่างและข้าวหลามยามลมหนาวพัดพา เหล่านี้ต่างหากที่พิมพ์ภาพประทับรอยลึกล้ำในห้วงแห่งวิญญาณ และซุกซ่อนเก็บงำไว้เนิ่นนานตลอดมา
คิดถึงท้องนา คิดถึงดอกเอ็นอ้าที่บานแย้มแข่งกับเอื้องหมายนาอยู่กึ่ง ๆ ระหว่างผืนนากับป่าโคก
ก็เชื้อสายลายล่องของผองเราเป็นนักบุกเบิกไร่นาสาโทมาแต่ปู่สังกะสาย่าสังกะสี ปลูกพืชผัก ฟัก แฟง แตง ถั่ว ข้าว งา สารพัด เลี้ยงลูกหลานเหลนผ่านรุ่นสู่รุ่น ครั้นมาถึงตัวเรานี้หรอก ที่ทำตัวห่างเหินเมินหน้าจากผืนแผ่นดิน ไปรับราชการงานหลวงแถว ๆ ปลาย ๆ ศักดินา แล้วเลยแกล้งทำลืม ทั้ง ๆ ที่กรุ่นกลิ่นแห่งอายดินแลหญ้าฟางไม่เคยจางหายไปจากส่วนลึกที่ถูกซุกซ่อนเก็บงำดั่งว่า
ก็ระบบการศึกษา วาทกรรมเพื่อการครอบครองสร้างความเป็นปึกแผ่นในแดนดินแห่งสยามประเทศ มักกระหน่ำตอกย้ำให้รับรู้เสมอมาว่าอีสานบ้านเราอันเป็นส่วนในคมขวานของรูปแผนที่นั้นช่างต่ำต้อย ด้อยอารยะ ไม่ว่าจะเป็นผืนแผ่นดิน ผู้คน สังคม สภาพแวดล้อม
เวลาล่วงไป วัยล่วงผ่าน ได้มีโอกาสออกจากบ้านตามล่าหาความฝันตามประสาตามธรรมดานักสู้ชาวอีสานทั่วไป มีโอกาสได้ไปอยู่ออสเตรเลีย ๔ ปี อยู่กรุงเทพฯก็ ๗ ปีเข้านี่แล้ว เทียวขึ้นล่องกรุงเทพฯ-กระบี่-อีสานทุกครึ่งเดือน จากอันดามันสู่ลุ่มเจ้าพระยาขึ้นมาโขง ชี มูล ทำให้สายตาที่ทอดมองรอบตัวเปลี่ยนไป ก็ผืนดินไหนเล่าจะไม่แห้งแล้งถ้ามันเป็นหน้าแล้ง แม้ริมฝั่งทะเลก็ยังขาดแคลนน้ำถ้าไม่มีระบบการจัดการที่ดี น้ำใสๆ ไหลจากภู จากดอยทางเหนือ ก็ยังเลาะเลื้อยลงมามารวมกันเน่าเหม็นน่ารังเกียจในกรุง(แห่ง)เทพมหานครอมรรัตนโกสินทร์ได้
นี่นา
น้ำใส ๆ ใบไม้เขียว ๆ ในแถบเมืองอุบล-วารินถิ่นน้ำแซบปลายทางแห่งน้ำมูลที่คุ้นเคยก็จึงผุดพรายขึ้นมาเรียกร้องให้โหยหา
นั่นแหละคือสาเหตุให้ อยากไปเป็นชาวนา
เป็นชาวนาอีสานตามวิถีดั้งเดิมที่หัวไร่ปลายนา ปล่อยให้ผองเพื่อนพืชผักอื่น ๆ มีที่ยืน นั่ง นอน หรือ เลื้อยพันชูใบผลิดอกออกผลอยู่ได้ ใกล้เคียงกัน อาศัยซึ่งกันและกัน สร้างสีสันงดงามให้ผืนนาป่าข้าว
ความคิดนี้แพร่ออกไปสู่คนใกล้ชิด เพื่อนเกลอ ลูกหลาน น้องนุ่ง เพื่อหาแนวร่วม แต่บางคนฟังแล้วยิ้ม ๆ แล้วเฉย ๆ บางคนประกาศออกมาเลยว่า...ไม่!! มีคนที่เห็นด้วยเออออห่อหมกคือลูกสาวนักวิชาการเกษตร แต่กลับเป็นคนที่ตั้งรกรากอยู่กระบี่ห่างไกลเมืองารินถิ่นน้ำแซบเป็นพันกิโลเมตรอีกแน่ะ จับพลัดจับผลูก็เลยได้แนวร่วมเป็นเพื่อนรักมาแต่สมัยเป็นนักเรียนโน่น คือคุณอรพิน กับสามีสุดที่รักของเธอ พ่อใหญ่บุญเพ็ง สองตายายผู้โหยหากระอายดินกลิ่นฟางเช่นกัน
“ลูกเราก็ไม่เห็นด้วย แต่เราไม่แคร์ ทำนาสมัยนี้ไม่ต้องหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ฝนอีกแล้ว สั่งทางมือถือก็ได้”
“เราอยากทำแบบผสมผสานนะ ปลูกพืชทุกชนิดเลย”
“ดี ดี ดี คิดเหมือนกันเลย”
“งั้นต้องไปหาที่เหมาะ ๆ แล้วหละ ต้องมีส่วนที่เป็นเนินสูงเทลาดลงสู่ลำห้วยจะได้ทำนาและสวนผสมผสาน”
พื้นที่แถบอุบลราชธานีเป็นขอบคมขวานที่มีแนวเทือกพนมดงรักทางทิศใต้ เทือกภูพานทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ธารน้ำที่เกิดจากทั้งสองเทือกเขาจะไหลลงรวมตรงแอ่งกลาง เป็นแม่มูลไหลผ่ากลางแถบที่ตั้งตัวจังหวัด ภูมิประเทศทั่วไปจึงเป็นลอนลูกคลื่นสูง ๆ ต่ำ ๆ เราจึงหาที่แบบเป็นเนินสูงแล้วเทลาดลงสู่ลำห้วยได้ไม่ยากนัก แต่เงื่อนไขด้านราคาสำหรับเราก็ซื้อได้ไม่ง่ายเช่นกัน วันว่างของสองยายบวกพ่อใหญ่เพ็งก็นัดกันออกตระเวนตั้งแต่ลุ่มน้ำลำโดมใหญ่ โดมน้อย ตลอดปากแม่น้ำมูลอันบรรจบกับแม่น้ำโขง เราจึงได้เห็นว่าป่าโปร่ง ๆ โคกสูง ๆ แบบเบญจพรรณที่ไม่มีใครมองมาก่อนกลายเป็นป่ายางพาราไปแทบหมดแล้ว และส่วนมากมักมีเจ้าของเป็นคนต่างถิ่น ต่างแดน ไม่ใช่เขยฝรั่งที่มีเมียอีสานหัวใส ก็มักเป็นชาวใต้จากสงขลา ปัตตานี กระบี่ สตูล และอื่น ๆ
เรามัวหลับใหลนานไปกระมังนี่ ราคาที่ดินมันพุ่งกระฉูดชนิดนึกไม่ถึง จากที่กะกันไว้ว่าจะเอาคนละสามสิบถึงห้าสิบไร่ก็จึงลดปริมาณลงเรื่อย ๆ ในที่สุดแม้แปลงที่เนื้อที่เพียงห้าสิบกว่าไร่เราก็ต้องไปโน้มน้าวหาหุ้นส่วน เรียกร้อง แกมบังคับให้น้องนุ่งลูกหลานมาหารมาแบ่ง ได้คนละห้าไร่ สิบไร่ ตามกำลัง
กว่าจะได้เป็นชาวนามันไม่ง่ายเลยหนอ
ที่แปลงนี้อยู่ในเขตอำเภอสว่างวีระวงศ์ ห่างจากบ้านเมืองวารินยี่สิบกว่ากิโลเมตร มีส่วนที่เป็นโคกสูงแล้วลาดเทลงสู่ธารน้ำเล็ก ๆ ดั่งที่เสาะหากันกว่าปีมาแล้ว ริมลำธารนั้นมีร่องรอยแปลงนาและบ่อน้ำ ส่วนที่เป็นเนินสูงมีร่องรอยการปลูกมะม่วงหิมพานต์อยู่บ้าง ที่ชอบใจอย่างยิ่งคือยังมีไม้ต้นโบราณ ๆ หลายชนิดให้เห็น ไม่ว่าจะเป็นพะยอม กระบก ซาด(เหียง) น้ำเกลี้ยง(รักหลวง) มะเค็งใหญ่(ลูกหยี) มีไม้เถาประเภทมันนก มันน้ำ เกี่ยวพันประกาศความเป็นเพื่อนมิตรอย่างออกหน้าออกตาเชียว บริเวณที่เป็นคำ(น้ำซับ)นั้นมีทั้งผักกูด และเถาหม้อข้าวหม้อแกงลิงชิงกันยื่นยอดเขียวสอดส่ายหาแสงตะวัน
ไม้ใหญ่บางต้นเหลือแต่ตอ เร่งเร้าให้สองคู่หูรีบจัดการเพื่อจะคงลูกหลานมันไว้ในผืนดิน
“เสียดายเราอยู่ไกล จะทิ้งงานก็เสียดายอีก”
“ไม่เป็นไรว่างวันไหนก็มา พ่อใหญ่เพ็งจัดการอยู่แล้วหละ”
สองยายคู่หูเออออห่อหมก อรพินนั้นเธอเป็นสมาชิกสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต้องเดินทางบ่อย ๆ ส่วนตัวเราก็มาซุกอยู่กับพี่สุภา(โบตั๋น) คนว่างจริง ๆ จึงมีเพียงพ่อใหญ่เพ็ง(อดีตศึกษานิเทศก์เขต๒อุบลราชธานี) พ่อใหญ่จึงกลายเป็นผู้จัดการฟาร์มไปแบบหนีไม่พ้น
แล้วชาวนาอย่างเราก็คอยฟังเสียงโทรศัพท์ ...
“จะล้อมรั้วแล้วหนา จะขุดบ่อไหม ตรงเนินสูงปลูกยางพารานะ ด้านล่างริมห้วยทำแปลงนาสักสองแปลงนะ ติดต่อรถไถไว้แล้วทำพร้อมกันเลยเขาจะได้ไม่เสียเวลา...”
“ โอนเงินมา...”
“โอเคค่ะ แต่ว่าบอกคนไถเขาระวัง ๆ หน่อยก็แล้วกัน ตรงชายป่าที่มีต้นดอกเอนอ้า กับเอื้องหมายนา และเถาหม้อข้าวหม้อแกงลิงนั้นไม่ต้องไถออก ปล่อยให้เป็นดงอยู่ของมันอย่างนั้นแหละ เอออีกอย่างนะถ้าเขาใส่ปุ๋ยยางพารา คราวต่อไปให้ใส่ตรงโคนต้นซาดให้ด้วย”
“บอกให้แล้ว แต่พ่อใหญ่เพ็งแกว่าบ้า... แกอายคนงาน มันพากันหัวเราะ หวงอะไรไม่หวงมาหวงเอื้องหมายนา กับต้นเอนอ้า ยิ่งใส่ปุ๋ยต้นชาดนั้นแกต้องแอบใส่ไม่ให้พวกเขาเห็นเลยหละ” เพื่อนกระซิบดัง ๆ แล้วหัว
ก็ยอมรับอย่างหน้าชื่นละ และขอบคุณพ่อใหญ่เพ็งที่ได้รับตำแหน่งผู้จัดการฟาร์มไปเรียบร้อย(แต่ไม่มีเงินเดือนหรอกนะ) เพราะเวลาใดที่ได้ไปเยือนสวนแห่งนี้ ได้พบว่าต้นยางพารานั้นยืดตัวสูงเสียดขึ้นทุกวันน่าปลื้มใจ แต่ยังไม่วายมองหาดอกเอนอ้า และเอื้องหมายนา เห็นสีม่วงบานไสวของเอนอ้า กับแดงส้มสดใส และขาวกระจ่างบานวิบไหวส่ายกลีบน้อย ๆ ของเอื้องหมายนาก็ยิ้มสุขใจทุกที
เอนอ้า
ไม้พุ่มสูง๑-๒เมตรกิ่งก้านสีแดงเข้ม มีขนปกคลุมก้านและใบ ออกดอกเป็นช่อ ดอกสีม่วง และสีขาว ออกดอกตลอดปี ผลสุกแล้วแตกอ้า เมล็ดสีม่วงกินได้ มีรสหวาน คนโบราณใช้หลายส่วนของเอนอ้าทำยาหลายขนาน
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Osbeckia stellata Ham.
เอื้องหมายนา
พืชล้มลุกอายุหลายปี ชอบขึ้นในที่ชื้น มีเหง้าใต้ดินเมื่อมีการบุกเบิกป่าเพื่อทำนาเหง้านี้จะยังอยู่ตามขอบคันนา และชายป่า จึงเป็นที่มาของชื่อ “เอื้องหมายนา” หรือ“เอื้องปลายนา”
เอื้องหมายนามีหลายชนิดเช่น ชนิดดอกแดง ม่วง ขาว เหลือง ปัจจุบันมีการขยายพันธุ์ปลูกเป็นไม้ประดับทั่วไป คนโบราณใช้หลายส่วนของเอื้องหมายนาเป็นยาหลายขนาน ผู้เขียนเคยนำหน่อ(ชนิดดอกขาว)มาต้มเป็นผักกินกับน้ำพริก
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Costus speciosus.
๐๐๐