ในคมขวาน ๑๖
กุ้งเดินขบวนชวนพิศวง
“สาวภูไท”
ไม่แปลกหรอกหากจะได้เห็น หรือได้ยินเรื่องราวการอพยพย้ายถิ่นของบรรดาสัตว์ทั้งหลายในโลก เช่น นกพากันบินข้ามขอบฟ้าเป็นระยะทางหลายพันไมล์จากไซบีเรียลงสู่ใต้เมื่อฤดูหนาวมาเยือน ปลาว่ายทวนน้ำขึ้นสู่ที่สูงเมื่อฝนแรกเทน้ำใหม่มาให้ มดตัวจิ๋วขนไข่ย้ายรังเดินตามกันเป็นถั่นแถวเมื่อคราน้ำหลาก
แต่ข่าวว่าฝูงกุ้งเดินขบวนนี่กลับฟังแปลก ชวนให้พิศวงสงสัยใจนักแล้ว
“มีที่ไหนกันหรือ”
คำตอบคือ
ณ ลานพันรู น้ำตกแก่งลำดวน ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่ายอดโดม บริเวณสถานีรักษาพัฒนาและอนุรักษ์สัตว์ป่า อุบลราชธานี ในเขตอำเภอน้ำยืน ห่างจากตัวจังหวัดประมาณ ๑๓๕ กิโลเมตร บนเส้นทางระหว่างอำเภอน้ำยืน และ นาจะหลวย ไม่ห่างจากจุดชายแดน ๓ ประเทสคือ ไทย ลาว กัมพูชา ที่เรียกว่าสามเหลี่ยมมรกตมากนัก
ถนนหนทางสมัยนี้แสนสะดวกสบาย แต่หาโอกาสไปชมไม่ได้สักที เพราะมันเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงน้ำหลากนี้เท่านั้น ประมาณเดือนสิงหาคม ถึง กันยายนของทุกปี และเจาะจงเป็นเวลากลางคืนช่วงยามหนึ่งเท่านั้นด้วย ก็เลยปล่อยเวลาล่วงเลยไปเรื่อย ๆ เป็นเวลาหลายปีนับแต่ได้ยินข่าวเล่าขาน และการท่องเที่ยวออกมาเชิญชวน
เพิ่งปีนี้ที่ครอบครัวหลานพ่อใหญ่เลาะสามารถจัดตารางเวลาลงตัว เย็นวันที่ ๑๐ กันยายน ๒๕๕๗ หลังเวลาโรงเรียนเลิกก็ออกเดินทางกันเลย ออกจากวารินชำราบ มุ่งตะวันออกเฉียงใต้ผ่านอำเภอเดชอุดม ถึงน้ำยืนเมื่อพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว ย่ากับหลานชวนกันทายปัญหาอะไรเอ่ยแบบสนุก ๆ แถมนิทานเซียงเมี่ยงตอนเดียวก็ถึงเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่ายอดโดมแล้ว
พระจันทร์เดือนกันยาช่วงข้างแรมอ่อน ๆ ดวงกลมโตเป็นพิเศษลอยเด่นเหนือขอบฟ้า เพราะอากาศโปร่ง ฝนทิ้งช่วงไปสองสามวันแล้ว
และก็เพราะเหตุฝนทิ้งช่วงนี่เองที่ทำให้น้ำในแก่งลำดวนลดระดับลงเยอะ เจ้ากุ้งทั้งหลายจึงไม่ขึ้นมาเดินงุ่มง่ามตามโขดหินให้ชมกันดั่งเคย
หลายคนผิดหวัง แต่เด็ก ๆ ยังสนุกตามประสาวัยโลกสวย โดยเฉพาะเจ้าอิ๊กคิวได้หยุดทำการบ้านสักวันก็แฮปปี้เขาละ
บริเวณที่กุ้งเคยมาเดินขบวน(ไม่ได้เรียกร้อง ไม่ได้ชูป้าย หรือเป่านกหวีดอะไรหรอกนะ อย่าเข้าใจผิด)นั้นเป็นลานหินที่สูงกว่าสายน้ำในแก่งขึ้นมา ในคืนที่น้ำหลากนองกระแสน้ำกระโจนซ่าเชี่ยวแรงนั้นกุ้งทั้งหลายที่กำลังลอยทวนน้ำขึ้นสู่ แหล่งกำเนิดของเขาบนยอดโดม(ชื่อลำน้ำมีลำโดมน้อย ลำโดมใหญ่)ก็พากันหลีกเลี่ยงชวนกันไต่ เต้น เดินตามกันไปบนลานหิน จนพ้นเขตน้ำตกก็จะวกกลับลงน้ำแล้วล่องลอยต่อไป
“วันนี้น้ำไม่ไหลเชี่ยวกุ้งก็ไม่จำเป็นต้องขึ้นมาบนนี้”
“แต่...หนูเห็นแล้วกุ้ง นั่นไง ๆ”
แสงไฟฉายสาดส่องลำน้ำเบื้องล่างเกิดประกายวูบวาบ กระแก่งหิน และสายน้ำตกสะท้อนแสงไฟวับแวม ดูแล้วให้ความรู้สึกตื่นเต้น ยิ่งได้เห็นกุ้งตัวกระจี๊ดสักตัวก็ยิ่งปลาบปลื้มราวกับได้พบทองคำหรืออัญมณีล้ำค่าเลยทีเดียว
เจ้าของร้านค้าที่ริมถนนในหมู่บ้านก่อนเข้าเขตป่าอนุรักษ์คนหนึ่งเล่าว่า
“พวกเราชาวบ้านเห็นเป็นเรื่องธรรมดา เคยไปกวาดเอากุ้งใส่ถัง ใส่กระบุงตะกร้ามาทำกุ้งจ่อม กุ้งก้อยกินกันสนุก”
“แล้วตอนนี้ล่ะ”
“ไม่แล้วปล่อยไว้ให้พวกเจ้ามาเที่ยวดูไง” เธอว่าแล้วหัวเราะอารมณ์ดี
ฟังแล้วให้นึกถึงคุณนภดล ดวงพร ศิลปินหมอลำตลกชื่อดังของอุบลราชธานีเคยพูดตลก ๆ ตามสไตล์ว่า “บ้านข้อยนั้นอุดมสมบูรณ์หลาย ของอยู่ของกินมีอยู๋ท่วมดงท่วมป่า ขนาดจะไปดักจับนกมาแกงนะ ไปถึงที่แล้วยังต้องกวาดนกทั้งหลายที่มีอยู่มากมายออกไปเสียก่อนจึงจะวางแร้วดักนกลงได้”
คนแถบนี้ก็เป็นเช่นนั้น ในการจับกุ้งมาทำจ่อม ทำก้อยกุ้งกิน....ฮ่วย
ก็กุ้งเป็นหมื่น ๆ แสนตัวมาเดินบนลานหิน ไม่ต้องยุ่งยากในการใช้สวิง หรือเครื่องมืออื่นใดไปช้อนไปตัก แต่เพียงใช้มือกวาด ๆ ลงในครุ ในตะกร้าเท่านั้นเอง
กุ้งอะไรหรือจึงเอาไปทำก้อย ทำจ่อม(คล้ายปลาจ่อมแต่ทำด้วยกุ้งล้วน ๆ อร่อยกว่าปลาจ่อมเพราะไม่มีกลิ่นคาว)
มันคือ กุ้งฝอย หรือที่ชาวบ้านเรียก กุ้งขี้ฝอย ตัวน้อย ๆ สีใสๆ นั่นเอง ลำตัวยาวประมาณ ๒-๓ เซนติเมตร ชื่อสามัญว่า Lanchesters Freshwater Prawn ชื่อวิทยาศาสตร์ Macrobachiam Lanchester.
วันนี้กุ้งมาให้เห็นเพียงน้อยนิด แต่ไม่แน่ว่าในกระแสน้ำที่ไหลอยู่ตลอดเวลานั้นเขาจะใช้เส้นทางอีกสาย คือพากันว่ายลอยทวนกระแสน้ำขึ้นไปหรือเปล่า ในเมื่อกระแสน้ำไม่ไหลเชี่ยวเพราะฝนทิ้งช่วง ก็ไม่ต้องเลี่ยงมาขึ้นบนลานหินแล้ว
เขาจะไปถึงบ้านบนยอดโดมใกล้ภูพนมดงรักได้หรือเปล่า
“ไปดูกุ้งใหญ่ข้างบนดีกว่า”
เด็ก ๆ ไม่ง้อ ไม่รอดูกุ้งแต่กลับขึ้นข้างบนไปถ่ายรูปอัพลงเฟสกับหุ่นกุ้งตัวใหญ่ สีสันสดใสที่เขาจัดแสดงไว้อย่างสนุก
สามทุ่มกว่าเราก็ลาจากแก่งลำดวน ผู้คน รถรายังทยอยมาทำให้ในป่าแห่งนี้ดูคึกคักขึ้นมาก ขอบคุณกุ้งแม้ไม่มาเดินขบวน แต่ก็ชวนให้พิศวงจนอยากมาอีก
๐๐๐