กระทิง ที่อุทยานแห่งชาติกุยบุรี มีเป็นฝูง
โดย ธงชัย เปาอินทร์ เรื่อง-ภาพ
ชื่อสามัญ Gaur,Indian Bison
ชื่อวิทยาศาสตร์ Bos gaurus var.hubbacki Smith,1827 ชนิดที่พบในประเทศไทยและมาเลเซีย
ชื่อวงศ์ BOVIDAE
ถิ่นอาศัย ในต่างประเทศพบที่มาเลเซีย กระทิงชนิดอื่นๆพบที่พม่า จีน อินเดีย เนปาล ในประเทศไทย พบในป่าเบญจพรรณ ป่าเต็งรัง ป่าดงดิบแล้ง ป่าดงดิบเขา แม้แต่ไร้ร้าง ไร่ไฟไหม้ หญ้าระบัดใหม่ๆ แต่กระทิงเป็นสัตว์อดน้ำไม่เก่งจึงชอบอาศัยตามพื้นที่ใกล้แหล่งน้ำ ห้วย หนอง บึง ที่ราบถึงสูง 2,800 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง พื้นที่หากิน 78 ตารางกิโลเมตร
สถานภาพ เป็นสัตว์ป่าประจำถิ่น พบบ่อยในบางพื้นที่ เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตาม พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2535 เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองประเภท 2 ไซเตสจัดอยู่ในบัญชี 1 ส่วนไอยูซีเอ็น จัดอยู่ในบัญชีเสี่ยงสูญพันธุ์ (VU)
ว่ากันว่าวันที่นายกรัฐมนตรี นส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไปชมออกมาต้อนรับถึง 92 ตัว
ลักษณะทั่วไป
เป็นวัวป่าขนาดใหญ่ ความยาวลำตัว 250-300 ซม.หางยาว 70-105 ซม. ความสูงถึงไหล่ 170-185 ซม. น้ำหนัก 650-900 กก. ตัวผู้มีขนาดใหญ่กว่าและหนักกว่าตัวเมีย เป็นสัตว์ป่าที่ขนยาว ขนตามลำตัวสีดำ หรือสีดำแกมน้ำตาล หน้าผากขาว จนเรียกว่า หน้ารูปใบโพธิ์ ครึ่งล่างของขาทั้ง 4 ขาขนสีขาว หรือเหลืองทอง ทำให้มองเห็นว่ากระทิงมีถุงเท้าขาว สีขาวที่หน้าผากและเท้าเกิดจากคราบน้ำมันในเหงื่อซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะกระทิง
ลูกกระทิงสีน้ำตาลแดง
กระทิงคอสั้น ตัวผู้มีโหนกใหญ่ และมีพืม หรือ เหนียงคอห้อยยาวลงมาจากใต้คอ เขาสีเขียวเข้ม ปลายเขามีสีดำ บริเวณโคนเขามีรอยย่นและย่นมากขึ้นตามอายุขัย ลูกกระทิงแรกเกิดหนัก 23 กก.มีขนสีน้ำตาลแกมแดงเหมือนขนเก้ง มีเส้นสีดำพาดกลางหลัง ยังไม่มีถุงเท้าสีขาว เสียงร้องแตกต่างกันได้แก่ เสียงร้องเตือนภัย จะพ่นเสียงฟืดฟัดและเสียงมอ ตัวผู้ร้องเรียกให้หยุด เสียงเรียกรวมฝูง และกู้ร้องก่อนผสมพันธุ์
พฤติกรรม เป็นสัตว์ป่าที่ชอบอยู่และออกหากินเป็นฝูง 2-60 ตัว และอาจหากินรวมกับวัวแดงก้นขาวรูปใบโพธิ์ ตัวผู้ชอบออกหากินเอกเทศ จะเข้ามารวมฝูงต่อเมื่อใกล้เวลาผสมพันธุ์ ซึ่งสามารถผสมพันธุ์ได้ตลอดปี แต่มีเพียง 3 สัปดาห์ที่เป็นสัด ตั้งท้อง 270-280 วัน แม่กระทิงจะเลี้ยงลูกจนอายุ 9 เดือนจึงจากไป กระทิงสาวอายุ 2-3 ปีจึงจะเป็นสัด โรคติดต่อจากวัวบ้านคือเท้าเปือย และโรครินเดอร์เพสท์
กระทิงทุกตัวสวมถุงเท้าสีขาวนะ
บันทึกผู้เขียนและผู้ถ่ายภาพ
สถิติ ปีพ.ศ.2537 พบว่าประเทศไทยมี กระทิงเหลืออยู่ 920 ตัว วันนี้ยังไม่มีผลงานการศึกษาและวิจัยออกมาว่า กระทิงลดลงหรือเพิ่มขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ผมไปถ่ายรูปกระทิงชุดนี้มาจาก อุทยานแห่งชาติกุยบุรี อ.กุยบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ ด้วยความมั่นใจว่า จะได้เห็นวิถีชีวิตของกระทิงฝูงใหญ่ที่อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาอย่างมีความสุขระหว่างพ่อแม่และลูกกระทิง
เขากระทิงที่ตายในปีพ.ศ.2557
ซึ่งมีพฤติกรรมที่แปลคือออกมาหากินตั้งแต่เวลา 15.00-18.00 น. ส่วนเวลาค่ำไปกว่านั้นไม่มีโอกาสที่จะได้เฝ้าโป่งหรือสังเกตการณ์แต่อย่างใด ในปีพ.ศ.2557 เกิดการตายอย่างมากมายหลายสิบตัว( 29)โดยไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริง หัวกระโหลกกระทิงที่เห็นในห้องพัสดุ ส่งกลิ่นเหม็นหึ่ง ช่างน่าสังเวชและน่าอนาถใจ ถึงชะตากรรมของสัตว์ป่าที่แสนจะสง่างามและสวยสง่าในป่าใหญ่