ท่องอุบลแบบคนอุบล ๘
ตอน ตามรอยพระวอพระตา ๑
จากหนองบัวลุ่มภู เวียงใหม่เขื่อนขันธ์กาบแก้วบัวบาน ถึงหนองบัวอุบล
“เอื้อยนาง”
“ตั้งแต่พระวอพระตาโน่น”
นั่นเป็นสำนวนที่เราคนอุบลรุ่นก่อน ๆ ได้ยิน ได้ฟังเสมอ และเข้าใจกันดีว่า เป็นคำเปรียบเทียบถึงสิ่งใดก็ตามถ้ามีมานานมาก ก ก..ๆ. ละก็ต้องมีมาแต่ยุคพระวอพระตาแน่นอน เพราะมันนานจนบอกวันเดือนปีไม่ได้นั่นแหละ
และสำนวนนี้ก็ให้ความรู้สึกอันคุ้นเคย อบอุ่นใจ ชวนให้ระลึกถึงบรรพบุรุษผู้ฟันดงหนา ฝ่าคมขวาน พาขบวนคารา ลูกหลานไพร่พลจาก หินโงมใกล้เวียงจันทน์ สู่ “หนองบัวลุ่มภู” ตั้ง เวียงใหม่นครเขื่อนขันธ์กาบแก้วบัวบาน แล้วยังถูกรุกรานไล่ล่า เพราะความขัดแย้งรุนแรงกับพี่น้องปล้องปลายราชสำนักเวียงจันทน์ กว่าจะเหลือรอดมาเป็นหมู่เฮาชาวอุบลราชธานี ศรีวนาไลย ประเทศราชนั้นใช้เวลานานหลาย ๆ ปี เคลื่อนย้ายไปหลาย ๆ แห่ง ตั้งหลักแหล่งสะสมเสบียง และกองกำลังคอยช่วยเหลือสนับสนุนกัน จนเกิดเป็นบ้านเมืองกระจัดกระจายในสายโขง มูล ชี และลำน้ำสาขา บ้างถูกยุบไป บ้างเติบใหญ่เปลี่ยนแปลงเป็นบ้านเมืองมาจนปัจจุบัน เช่น เมืองคูขัน(ขุขันธ์) เมืองยโสธร เมืองดอนมดแดง
การแยกย้ายแบ่งไปหลายกองหลายทิศทาง กองใหญ่ไปถึงจำปาศักดิ์ ได้ตั้งอยู่ชายคานคร ณ เวียงดอนกอง บ้านดู่ บ้านแก กระนั้นยังไม่หลุดพ้นจากราชภัย ต้องเข้าพึ่งกรุงธนบุรี และตามลำน้ำมูลมาสมทบกับกลุ่มดอนมดแดง แก้งส้มป่อย สู่ห้วยแจระแม แลดงอู่ผึ้งอันเป็นที่ตั้งเทศลางอยู่ที่บาลนครอุบลราชธานีที่มีในปัจจุบันนั่นเอง
ช่างยืดยาว จะค่อย ๆ เล่านะคะ
ตอนก่อนเล่าเรื่องพระปทุมวรราชสุริยวงศ์ไปแล้ว แต่ยังไม่ละเอียดนัก จึงขอย้อนไปอีกทีค่ะเพราะท่านเป็นบุคคลสำคัญมากของอุบลราชธานี เป็นสายเลือดโดยตรงของเจ้าพระตาที่กล่าวมาข้างบน
เอกสารเก่าเรียกนามท่านว่า “ท้าวคำผง” บ้าง “คำผงบุตรพระตา” บ้าง นั่นเพราะนามเดิมของท่านคือ “คำผง” บิดา-มารดา ของท่าน คือ “พระตา” และ “นางบุศดี”
และพระตามีน้องชายนามว่า “พระวอ” หรือ “พระวรราชภักดี” เป็นพี่น้องคู่ใจต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ เป็นที่มาของคำว่า “พระวอพระตา” ในสำนวนที่เอ่ยถึงข้างต้นนั่นเอง
ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจก่อนว่า บ้านเมืองแถบอีสานก่อนนั้นขึ้นอยู่กับราชอาณาจักรล้านช้างร่มขาวมีศูนย์กลางอยู่ที่นครหลวงพระบางก่อนย้ายมาที่เวียงจันทน์ และเวียงจันทน์ก็เจริญรุ่งเรืองสูงสุดในช่วงรัชกาลของสมเด็จพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช ผู้ซึ่งมีพระชนนีเป็นเจ้าหญิงล้านนาผู้มีสิทธิ์ในราชสมบัติแห่งล้านนา เป็นเหตุให้เจ้าชายไชยฯได้รับอัญเชิญไปครองเชียงใหม่(พ.ศ.๒๐๐๙) แต่ครองอยู่ไม่นานพระราชบิดา(สมเด็จพระเจ้าโพธิสารราช)ได้รับอุบัติเหตุสิ้นพระชนม์กะทันหัน พระองค์จึงได้รับการอัญเชิญกลับมาครองราชอาณาจักรล้านช้างแทนพระราชบิดา และได้ทรงย้ายเมืองหลวงจากหลวงพระบางมายัง เวียงจันทน์(พ.ศ.๒๑๐๓) สร้างสาเวียงจันทน์ถึงยุครุ่งเรืองสุดขีด ทรงเป็นนักรบผู้สามารถ เป็นนักบริหาร และนักการศาสนาไปพร้อมกัน มีการฟื้นฟูบ้านเมือง วัดวาอาราม สร้างพระพุทธรูปเป็นที่รวมใจราษฎรมากมาย
แต่หลังยุค ของสมเด็จพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชแล้วความขัดแย้งในราชสำนักล้านช้างก็เกิดขึ้น ฝังลึก เป็นแก้วร้าวเรื่อยมา ราชอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่แตกออกเป็นสามจุ้ม คือ หลวงพระบาง เวียงจันทน์ และจำปาศักดิ์
ความขัดแย้งคงมีมาอยู่เรื่อย ๆ แบ่งเป็นหลายก๊กหลายกลุ่มตลอดหลายยุคสมัย กระทั่งรัชกาลของสมเด็จพระเจ้าศิริบุญสาร กลุ่มพระวอพระตาจากบ้านหินโงมจึงแยกออกไปตั้งอยู่ที่หนองบัวลุ่มภู เมืองเก่าแต่บรรพบุรุษของตน(เจ้าปางคำ)ที่มาจากเชียงรุ้งแสนหวีฟ้า
หนองบัวลุ่มภู เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ชายฝั่งหนองบัว(หนองซำฮ้าง)ที่อุดมสมบูรณ์ ทัศนียภาพสวยงาม ในช่วงสมเด็จพระเจ้าไชยเวษฐาธิราชครองนครเวียงจันทน์ได้ทรงมาฟื้นฟู ปฏิสังขรณ์วัดวาอาราม สร้างพระพุทธรูป ขุดบ่อน้ำ ที่เมืองนี้ซึ่งเป็นเมืองร้างยุคขอมรุ่งเรือง และยกฐานะเป็นเมืองหน้าด่านของเวียงจันทน์ ชื่อ “เวียงจำปานครกาบแก้วบัวบาน” (จากประวัติหนองบัวลำภู) ถือเป็นเมืองเอกทางตะวันตกของเวียงจันทน์
ครั้นสมเด็จพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชหายสาบสูญพระองค์ไปในการติดตามปราบขบถ พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองทรงสั่งให้พระมหาธรรมราชาแห่งอยุธยายกกองทัพมาตีเวียงจันทน์โดยมีพระราชโอรสคือพระนเรศวรติดตามมาด้วย กองทัพได้มาตั้งที่หนองบัวลุ่มภูนี้ แต่พระนเรศวรทรงประชวรด้วยไข้ทรพิษเสียก่อนทางฝ่ายพม่าจึงอนุญาตให้ยกทัพกลับ
หนองบัวลุ่มภูฟื้นกลับอีกครั้งเมื่อพระวอพระตาพร้อมลูกหลานไพร่พลยกขบวนใหญ่มาตั้งเป็นหลักแหล่ง (ประมาณพ.ศ.๒๓๐๒)ทำการสร้างค่าย คู ประตู หอรบรอบด้าน ตั้งกฎบัญญัติขึ้นปกครองตนเอง เป็นอิสระ ให้นามใหม่ว่า เวียงใหม่นครเขื่อนขันธ์กาบแก้วบัวบาน มีเมืองหน้าด่านคือ เมืองนาด้วง ภูเวียง ผาขาว(ผ้าขาว) และเมืองพรรณนา
ท้าวคำผงบุตรพระตาช่วงนั้นเป็นหนุ่มฉกรรจ์ ผู้มีบทบาทในการสร้างสา บ้านเมือง และเป็นนักรบกล้าของกองทัพ ช่วยพระบิดา และพระเจ้าอาในการสู้รบกับกองทัพเวียงจันทน์ที่กัดไม่ยอมปล่อยและยังไปขอกองทัพพม่ามาช่วยอีกจนพระตาพลีชีพในสนามรบ
ชีวิตผู้คนนั้นมีค่ายิ่งนัก หากจะดึงดันตั้งมั่นอยู่ก็คงต้องต่อสู้จนหมดสิ้น พระวอและลูกหลาน ไพร่พล ตลอดพระสงฆ์องค์เจ้าที่ร่วมเป็นร่วมตายจึงตกลงทิ้งเวียงใหม่นครเขื่อนขันธ์กาบแก้วบัวบาน แบ่งกำลังและผู้คนออกเป็นหลายสายแยกย้ายไปหาที่ตั้งหลักเตรียมเสบียง กำลังคอยช่วยเหลือกันยามจำเป็น
ส่วนพระวอ ท้าวคำผง ย้ายกองครัว ไพร่พล ส่วนใหญ่มุ่งหน้าไปพึ่งพิงเจ้านครจำปาศักดิ์ และได้ตั้งอยู่ ณ เวียงดอนกอง บ้านดู่ บ้านแก ใกล้นครจำปาศักดิ์นั่นเอง ก่อนถูกเวียงจันทน์ส่งพญาสุโพยกทัพใหญ่ตามมาไล่ล่า จนพระวอพลีชีพไปอีกคน ท้าวคำผง(พระปทุมวรราชสุริยวงศ์)ได้มีใบบอกไปนครราชสีมา ขอพึ่งพระโพธิสมพารสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี(พ.ศ.๒๓๑๐) และยกกองครัวผู้คนมาตั้ง ณ ดอนมดแดงซึ่งมีกลุ่มกองครัวตั้งบ้านเรือน ทำไร่ ใส่นาคอยช่วยเหลือกันอยู่ก่อนแล้ว ต่อมาจึงขยับขยายสู่ ห้วยแจระแม แลดงอู่ผึ้งสถานที่อุดมสมบูรณ์ริมฝั่งซ้ายของแม่น้ำมูล ซึ่งเหนือขื้นไปมีหนองใหญ่ให้ระลึกถึงหนองบัวลุ่มภู จึงให้ชื่อว่าหนองบัวสืบมา
ปัจจุบันหนองบัวเป็นสวนสาธารณะริมฝั่งน้ำ ร่มรื่น สวยงาม เป็นที่พักผ่อนออกกำลังกายอีกแห่งของชาวเมืองอุบลราชธานี ที่มองขึ้นไปทางทิศเหนือจะเห็นพระธาตุหนองบัว รูปแบบสถาปัตยกรรมคล้ายพระธาตุพุทธคยาที่อินเดีย สูงเด่น เป็นสง่า ใต้ฟ้าเหนือยอดเขียวไสวของแมกไม้ริมฝั่งหนองที่มีน้ำใสราวกับจะส่องเห็นเมืองบาดาล
.....