ดอกไม้เทศและดอกไม้ไทย
ต้น73.คาเลนดูลา
โดย ธงชัย เปาอินทร์ เรื่อง-ภาพ
คาเลนดูลา
ชื่อสามัญ ดาวเรืองหม้อ Calendula, Pot Marigold, Scotch marigold
ชื่อวิทยาศาสตร์ Calendula officinalis L.
ชื่อวงศ์ ASTERACEAE
สถานภาพ เป็นพืชต่างถิ่นกำเนิด นำเข้ามาปลูกประดับ
ถิ่นกำเนิดและการกระจายพันธุ์
ในต่างประเทศ พบแถบเมดิเตอร์เรเนียน ยุโรปตอนใต้ แอฟริกาเหนือจนถึงอิหร่าน
ในประเทศไทย พบปลูกตามแหล่งไม้ประดับเมืองหนาวเช่น ดอยตุง ดอยอ่างขาง
การกระจายพันธุ์ ปัจจุบันปลูกได้ทั่วไปในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ไทย เมียนมาร์ กัมพูชา เวียดนาม ลาว
ลักษณะประจำพันธ์
ต้น เป็นไม้ดอกอายุสั้น พุ่มสูง 30-60 ซม. มีทั้งพันธุ์ต้นเตี้ยและต้นสูง
ใบ รูปหอกกลับหรือรูปช้อน ขอบหยักฟันเลื่อย ผิวใบมีขนสั้น เมื่อจับมียางเหนียวและมีกลิ่นติดมือ ยาว 10-18 ซม. กว้าง 2.5-4 ซม. เส้นแขนงใบเรียงสลับข้างละ 5-7 เส้น ก้านใบสั้น ปลายใบมนรูปช้อน เนื้อใบบาง
ดอก เป็นช่อกระจุกเดี่ยวที่ปลายยอด ขนาดกว้าง 5-10 ซม. กลีบดอกวงนอกรูปขอบขนาน ปลายหยักซ้อนกัน 3-5 ชั้น มีสีครีม เหลือง และส้ม กลีบดอกวงในรูปหลอด สีเหลืองหรือสีน้ำตาลเข้มกว่ากลีบวงนอก
ผล รูปแคปซูล ขนาดใหญ่ 90-140 เมล็ด/กรัม รูปงอเหมือนเล็บ สีนวลๆ
พื้นที่ที่เหมาะสมและการขยายพันธุ์ ดินอุดมสมบูรณ์แต่ต้องระบายน้ำดี ทนต่อสภาพดินเค็มได้ ปริมาณน้ำปานกลาง แฉะจะมีแต่ใบ ดอกออกน้อย ปลูกในฤดูหนาวจะได้ดอกสวยงามและทนนาน อุณหภูมิระหว่าง 15-25 องศาเซลเซียส แสงแดดจัดเต็มวัน ความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 300-900 เมตร
เพาะเมล็ด โดยกลบเมล็ดบาง ๆ วางภาชนะเพาะในที่มืดจะงอกได้ดี เมล็ดงอกภายใน 3- 5 วัน ย้ายปลูกอายุ 10-15 วัน เวลาเพาะ-ออกดอก 80 – 85 วัน อายุต้น 100-110 วัน
บันทึกผู้เขียนและผู้ถ่าย
ผมไม่ค่อยมีโอกาสไปต่างประเทศ แต่ผมชอบไปทางภาคเหนือในช่วงหนาว อากาศเย็น ภูเขาสูง เช่นดอยตุง ดอยอ่างขาง และตามโครงการพระราชดำริ จึงได้เห็นว่า คาเลนดูลานั้นมีประโยชน์มากมายดังนี้คือ
1.ปลูกเป็นไม้ประดับ แบบลงแปลงและลงกระถาง นอกจากนั้นยังทำเป็นแหลงไม้ตัดดอก แต่ที่นิยมมากคือการปลูกลงแปลง
2.ปลูกไม้สมุนไพร ส่วนที่ใช้มีสรรพคุณ
ต้น นำมาชงกินเป็นยาแก้โรคดีซ่าน แผลเรื้อรังและแก้เส้นเลือดพอง, เป็นยาขมเจริญอาหาร ขับเหงื่อ ขับพยาธิ แก้คลื่นเหียนอาเจียน
ใบ นำมาตากแห้งแล้วบดเป็นผงใช้เป็นยานัตถุ์ได้ หรือกินเป็นอาหาร แก้โรคต่อมน้ำเหลืองในเด็ก และถ้าเกิดอาการท้องผูกให้นำใบคั้นเอาน้ำทานซึ่งจะมีรสเผ็ดร้อน
กลีบดอกสด กินแก้โรคทางเดินปัสสาวะ แก้ไข้ บำรุงตับ น้ำที่กลั่นจากดอกแก้อาการอักเสบของตาและชงแก้ไข้ขับเหงื่อ แก้พุพอง หรือนำมาต้มเป็นยาแก้ โรคหัด แก้ไข้ทรพิษ หรือถ้ามีอาการปวดฟกช้ำ ให้เอาดอกมาทาถูตรงบริเวณนั้น แมลงกัดต่อยก็ทาได้ ใช้ถอนพิษล้างพิษที่อวัยวะสำคัญๆเช่นตับและถุงน้ำดี ออกฤทธิ์เป็นฮอร์โมนเอสโตรเจนอ่อนๆ ส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกัน โดยการกระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาว บำรุงเส้นผม ลดปริมาณคอเลสเตอรอล ต้านมะเร็ง
ดอกแห้ง ต้มกินแก้ปวดฟัน ตาเจ็บ แก้ปวดตามข้อ แก้ปวดประจำเดือนและปวกท้อง นิยมใช้ในการล้างพิษสำหรับตับและถุงน้ำดี
น้ำมัน ใช้ทาแก้ริดสีดวงทวาร เส้นเลือดฝอยแตก
3.ปลูกเป็นพืชอาหารกินได้ กลีบดอกสดช่วยแต่งกลิ่นอาหาร ใส่ในผักสลัด มีกลิ่นคล้ายเครื่องเทศ อุดมด้วยเกลือแร่และวิตามิน A และ C กลีบแห้งใช้ต้มในน้ำซุปหอมกรุ่น เมล็ดมีโปรตีน 37% และน้ำมัน 46% ย้อมสีผมได้ด้วยกลีบดอก
4.ปลูกเป็นผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ใช้ดอก 1 ถ้วยตวงต้มในน้ำ 2 ถ้วยตวง ตั้งทิ้งให้อุ่น 4 ชม กรองเอากลีบออกแล้วเติม tincture of benzoin 1/4 ช้อนชา ผสมกันดีแล้วตั้งในตู้เย็น ใช้ทาผิวที่เป็นสิวได้ผลดี