ทำความจริงให้เป็นความจริง
พรฏ.เพิกถอน พท.อช.ดอยสุเทพ-ปุย บางส่วน
โดย ธงชัย เปาอินทร์ เรื่อง-ภาพ
ปีพ.ศ.2517 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ขออนุญาติใช้พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าดอยปุย พื้นที่ 3,158-0-68 ไร่ กรมป่าไม้ได้อนุมัติให้ใช้ประโยชน์ได้ตามที่กระทรวงร้องขอ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้อนุญาติให้หน่วยงานราชการในสังกัดอาทิเช่น กรมวิชาการเกษตร สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง(องค์การมหาชน) ศูนย์ผลิตผลโครงการหลวง ศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวเชียงใหม่ กรมการข้าว ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพการเกษตรเชียงใหม่(ผึ้ง)และศูนย์บริหารศัตรูพืชจังหวัดเชียงใหม่ กรมส่งเสริมการเกษตรและโครงการเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี ประกอบกับสำนักงานพุทธศาสนาแห่งชาติ และกรมทรัพยากรน้ำ และโครงการสร้างอ่างเก็บน้ำห้วยแม่เหียะน้อยตามลำดับ
ปีพ.ศ.2524 กรมป่าไม้ประกาศจัดตั้งอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย ทับพื้นที่จำนวนดังกล่าว ซึ่งตามเจตนารมณ์ของมาตรา3 แห่งพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติพ.ศ.2504 สภาพพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติจำนวนดังกล่าวจะสิ้นสุดไป กลายเป็นพื้นที่ส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย หน่วยราชการสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดังกล่าวจะกลายเป็นบุกรุกที่ดินอุทยานแห่งชาติ หรือต้องเพิกถอนออกไป ข้อเท็จจริง พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าดอยปุยที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ใช้จริงเพียง 2,349-3-8 ไร่ เท่านั้น
เพื่อให้หน่วยราชการในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดังกล่าวสามารถปฏิบัติพันธกิจต่อเนื่องได้โดยไม่ผิดพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ.2504 กรมป่าไม้จึงนำเสนอให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ยกร่างตราพระราชกฤษฏีกา เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ.2559 เพื่อนำเสนอให้คณะรัฐมนตรีอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฏีกาเพิกถอนพื้นที่อุทยานแห่งชาติดอยสุเทพปุยบางส่วนดังกล่าว ในท้องที่ตำบลสุเทพ ตำบลแม่เหียะ อำเภอเมือง เชียงใหม่ และตำบลหนองควาย อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ โดยให้ส่งเรื่องไปให้สำนักงานคณะกรรมการ กฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปนั้น
ผมยกเรื่องนี้ขึ้นมาให้เห็นว่า เมื่อความจริงเดิมมีความจำเป้นและได้ใช้ประโยชน์จริงของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 2,349-3-8 ไร่ ก็จำเป็นต้องเพิกถอนพื้นที่ป่าอนุรักษ์ของอุทยานแห่งชาติได้ ซึ่งถ้าก่อนการประกาศทับ หน่วยงานของกรมป่าไม้ในขณะนั้นพิจารณาอย่างถ่องแท้และมีหลักการ ก็คงจะกันพื้นที่ดังกล่าวออกเพื่อประโยชน์ของทางราชการแต่แรก แต่ด้วยความมักง่าย จึงใช้วิชาการมั่วๆ ประกาศทับที่ดินดังกล่าวไปจนสิ้น
กรณี พื้นที่อุทยานแห่งชาติทับลานประกาศทับที่ดินชุมชนคนวังน้ำเขียวครั้งนั้น ก็เคยเกิดขึ้นจริง และได้มติข้อตกลงจนถึงส่งเรื่องให้คณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาเพื่อเพิกถอนพื้นที่ที่ประกาศทับออก คนวังน้ำเขียวที่โดนผลกระทบก็จะได้รับสิทธิการอยู่และทำกินตามมติดั้งเดิมที่เคยได้รับ แต่เนื่องจากมีไอ้โม่ง สถานภาพสูง ฝ่ายการเมือง กระทำการถอนกฤษฎีกาออก พื้นที่พิพาทกลายเป็น พื้นที่สังหารในทันที รื้อ ทุบ ทำลาย จับดำเนินคดี ไม่เหี้ย ทำอย่างนั้นไม่ได้