ย่ำทรายในสายหมอก ดูดอกไม้ในทัสเมเนีย
ตอน๒. เมืองเล็กในป่าใหญ่ St.. Helens.
"เอื้อยนาง"
ใยเข็มที่รัก
เมื่อเช้ามีพ่อใหญ่คนหนึ่ง ชื่อพ่อใหญ่ เจมส์ เอาฟักทองมาฝากหนึ่งลูก แกบอกว่าแกปลูกด้วยมือแกเองที่ริมรั้วหลังบ้าน เห็นแล้วนึกถึงรถม้าที่เสกจากฟักทองในนิทานเรื่องนางซินหรือซินเดอเรลล่าขึ้นมาทันที เพราะฟักทองลูกนี้ถ้านำไปทำเป็นรถของเล่นให้เด็กๆ นั่งจริงๆ ก็น่าจะได้เลยแหละ
มันใหญ่โตปานนั้นจริงๆนะใยเข็ม ลูกเดียวคงกินได้เป็นปีเลยแหละสำหรับคนกินน้อยอย่างข้อยน่ะ ขอบคุณพ่อใหญ่เจมส์ แล้วข้อยก็ลากเข้าไปในครัวแทบไม่ไหว
พูดไปทำไมมีเรื่องผลฟักทอง เพราะพืชผลอื่นๆ ต้นผักต้นหญ้าในทัสมาเนียล้วนใหญ่โตผิดหูผิดตาทั้งนั้น ดูดอกยูคาลิปตัสเหลืองอร่ามในรูปนั่นซีแป็นตัวอย่าง
เซนต์เฮเลนส์เป็นเมืองเล็ก ๆ ประชากรคงมีประมาณเท่า ๆ ตำบลหนึ่งของบ้านเราเท่านั้น ด้านทิศเหนือติดชายทะเล ด้านอื่น ๆ ล้วนเป็นป่าล้อมรอบ ในวันที่อากาศไม่หนาวเย็นเกินไปที่สวนหลังบ้านจะมีฝูงนกแก้ว นกกระตั้วสีแปลก ๆ มาเยือนส่งเสียงลั่นราวกับมีงานมหกรรม ตามริมบึง ริมทะเลจะมีหงส์สีดำลอยนิ่งราวกับมันนอนหลับ
นี่ถ้าหากเป็นแถบบ้านเรา คงได้ขึ้นป้ายร้านอาหารแถวชายหาดกันให้พรึด ทั้ง “ร้านลาบหงส์ดำ” “ก้อยนกนางนวล” “ต้มยำนกแก้ว” “ปิ้งไก่ป่า” “พร่าจิงโจ้เจ้าเก่า” ….และอื่น ๆ อีกมากมาย โอ๊ย…นึกแล้วน่าสนุก คงไม่ปล่อยให้นก ให้หงส์ ให้ห่านป่าทั้งหลายเหล่านี้มาบินร่อนเฉิดฉายท้าทายอยู่เต็มบ้านเต็มเมืองอยู่นี้หรอกน่า…
เล่ามาแค่นี้ เจ้าคงนึกภาพบ้านเมืองที่ข้อยระเห็จระเหินมาเพลิดเพลินอยู่นี่ออกแล้วนะว่า เป็นบ้านป่าผาดอน เป็นเมืองเล็กในป่าใหญ่ก็ว่าได้นะ เมืองที่ใกล้ชิดป่าพงดงกว้าง ก็ว่าได้นะใยเข็ม
เขาว่า…. แม้จะเป็นหนึ่งในอาณานิคมของอังกฤษ แต่ออสเตรเลียนั้นแตกต่างจากอาณานิคมอื่นๆ ด้วยในยุคบุกเปิดเริ่มแรกของการตั้งหลักปักฐานสร้างบ้านแปลงเมือง ผู้อพยพทั้งหลายส่วนใหญ่ไม่ได้เคลื่อนย้ายมาด้วยเหตุผลทางการเมือง หรือเพื่อไปสู่อาณานิคมอื่น แต่เคลื่อนมาเพื่อแสวงหาชีวิตใหม่ในทุ่งหญ้าที่เขียวกว่า พวกเขาเริ่มชีวิตในแบบชนบททำฟาร์มปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์ พื้นราบกว้างใหญ่ ลาดเอียงเป็นเนินสูงต่ำสำหรับเปิดให้เป็นทุ่งหญ้าเป็นหัวใจของนักบุกเบิก ซึ่งท้าทายให้เกิดความอุตสาหะวิริยะ อาศัยสมองและสองมือเป็นสิ่งนำทาง อันเป็นเมนใหญ่ในการกำหนดแบบแผนของชีวิตและสังคม จนกลายมาเป็นออสเตรเลียนี่ ปัจจุบันกว่าครึ่งโลกที่ผลผลิตจากฟาร์มของออสเตรเลียส่งออกไป ทั้งผลผลิตจากพืชและสัตว์ ในฤดูเก็บเกี่ยวนั้นทุ่งข้าวสาลีจะเป็นสีทองจรดขอบฟ้า เช่นเดียวกับทุ่งดอกไม้หลากสีอันเป็นแหล่งผลิตน้ำผึ้ง
พื้นที่ของออสเตรเลียนั้นกว้างใหญ่ไพศาล ผู้คนกระจัดกระจายอยู่ตามเมืองเล็กเมืองน้อย แถบชนบทประเภทเมืองน้อยในทุ่งกว้าง เมืองเล็กในป่าใหญ่ บ้านจิ๋วริมทะเล อะไรทำนองนั้นน่ะมีมากกว่า
เซนต์เฮเลนส์ก็เป็นเมืองหนึ่งที่มีประวัติการบุกเบิกคล้ายๆ กันก่อนหน้านั้นมีชนพื้นเมืองกลุ่มที่คนขาวเรียกว่าเผ่าจอร์จเบย์อะบอริจิน อาศัยตั้งแคมป์อยู่ริมอ่าวทำการจับปลาล่าสัตว์ป่ากินเป็นอาหาร แต่ปัจจุบันก็มีแต่เงาร่างๆของพวกเขาเท่านั้นที่เหลือในความทรงจำของผู้คน เหมือนรูปถ่ายที่ข้อยถ่ายจากกำแพงริมถนนมาให้เจ้าดูด้วย นี้เป็นภาพเขียนแสดงการวิวัฒน์ของเซนต์เฮเลนส์จากยุคบุกเบกที่ใช้ม้าลากไถ ต่อมาถึงมีการทำเมืองจนมีรถ มีถนนและผู้คนมากมายขึ้น คนขาวกลุ่มแรกที่เข้ามาถึงบริเวณนี้เป็นพวกล่าแมวน้ำและปลาวาฬ มีนักล่าปลาวาฬคนหนึ่งชื่อ William Dutton เล่าว่าเขาจับปลาวาฬได้ในบริเวณใกล้ๆอ่าวแห่งนี้ คราวเดียวได้ปลาวาฬถึง 100 ตัว ปัจจุบันบริเวณท่าเรือใกล้สะพานเซนต์เฮเลนส์ ยังเป็นท่าเรือที่คลาคล่ำไปด้วยเรือประมง
และเรือขนส่ง ผู้นิยมเกมการตกปลาก็มีเรือตกปลาไว้บริการคิดเป็นชั่วโมง นับเป็นกีฬาที่มีชื่อเสียงมากสำหรับเซนต์เฮเลนส์ในปัจจุบัน…และในยามเทศกาลแข่งเรือ จะมีเรือใบหลากสีจอดเรียงรายท่ามกลางฟ้าสีคราม และน้ำทะเลสีเขียว
ผู้ที่เข้ามาเปิดป่าทำฟาร์มปลูกบ้านพักอาศัยคนแรกของเซนต์เฮเลนส์นั้นชื่อ E.P.Butler เขาได้รับสิทธิ์จับจองถากถางในเนื้อที่ 564 เอเคอร์เมื่อ ค.ศ 1830 เป็นบริเวณที่ราบลุ่มปากแม่น้ำจอร์จ อันเป็นบริเวณที่เป็นวอเตอร์ฟรอน(Water Front)ใกล้สะพานเซนต์เฮเลนส์ ครอบคลุมไปถึงเขตชอปปิ้งในปัจจุบัน และในปีต่อๆมา จึงมีผู้อพยพเข้ามามากขึ้นและพากันบุกเบิกทำฟาร์มลึกเข้าไปตามลุ่มแม่น้ำจอร์จและสาขา การสร้างบ้านเรือนในยุคแรกๆนั้น คือการโค่นต้นไม้ใหญ่ลงมาทำ บ้านเรือนในยุคแรกๆจึงเป็นบ้านไม้ หลายหลังยังคงอยู่มาถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะบริเวณถนน CECILIA ซึ่งเป็นบริเวณที่ตั้งโบสถ์ของเซนต์เฮเลนส์ ทั้งโบสถ์ Catholic Church และ Church of England หรือ Aglican Church.
ก็เหมือนกับบรรพบุรุษของเราชาวอุบลราชธานี ตอนลูกหลานพระวอพระตาอพยพมาจากเวียงจันทน์สู่จำปาศักดิ์ และจากจำปาศักดิ์มาตั้งหลักที่ดงอู่ผึ้ง(บริเวณเมืองอุบลฯปัจจุบัน) ปลูกบ้านอยู่อาศัยทำมาหากินมั่นคงแล้ว ก็พากันสร้างวัดให้เป็นศูนย์รวมจิตใจของชุมชน ในวันเวลาแห่งการบุกเบิกในทัสมาเนีย บ้านอยู่อาศัยคือสิ่งก่อสร้างอย่างแรกที่ต้องทำอย่างรวดเร็วเท่าที่สามารถทำได้ สิ่งต่อมาก็คือโบสถ์เพื่อเป็นศูนย์กลางจิตใจของชุมชน ซึ่งในช่วงนั้นส่วนมากกระจัดกระจายอยู่ตามฟาร์มห่างไกลกันหลายๆไมล์ สถานที่เดียวที่ทำให้ได้พบเพื่อนบ้านเพื่อพบปะสังสรรค์ แบ่งปันความสุขทุกข์อันเกิดมีขึ้นในชีวิต
โดยเฉพาะในช่วงนั้น ป่าพงดงหนาที่ล้อมรอบยังเต็มไปด้วยสัตว์ร้ายนานา ที่คอยทำร้ายผู้คน พืชผล และสัตว์เลี้ยง สมาชิกทุกคนในครอบครัวต้องช่วยกันทำงานตัวเป็นเกลียว มีเหมือนกันที่ล่าถอยกลับไป เช่น ในปี ค.ศ. 1836 J.H.Wedge ได้รับอนุญาตให้บุกเบิกในเนื้อที่ 640 เอเคอร์ และต่มาเขาขออนุญาติเพิ่มอีก 1,000 เอเคอร์ เพื่อเลี้ยงแกะ และไปบรรทุกแกะมาจาก Humbug แต่ปรากฏว่าเสือกินแกะของเขาเกือบหมด ทำให้หมดกำลังใจกลับไปทำงานที่โฮบาร์ต ตามเดิม
แต่หลายครอบครัวก็ยังอยู่ต่อสู้กับอุปสรรคซึ่งมีอยู่มากมายอย่างอดทน และขยันขันแข็ง พื้นแผ่นดินอันอุดมสมบูรณ์คือความหวังให้ต่อสู้ฝ่าฟัน ทำการปลูกพืชเลี้ยงสัตว์อย่างไม่ย่อท้อ พืชที่ปลูกก็มีมันฝรั่ง ข้าวโพด ข้าวสาลีเป็นพื้น ส่วนสัตว์ที่เลี้ยงได้ดีโตเร็วเหมาะสมกับสภาพดินฟ้าอากาศที่นี้ที่สุด คือ แกะและวัว ส่วนม้านั้นเลี้ยงไว้ใช้งานทั้งลากไถ และใช้บรรทุกของขับขี่เดินทาง เมื่อพืชผลในฟาร์มงอกเงยเก็บเกี่ยวแล้วก็ต้องนำไปขายแลกเปลี่ยนสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิตใช่ไหมละใยเข็ม ดังนั้นม้าจึงเป็นสัตว์คู่บ้านคู่เรือนเลยก็ว่าได้ ยิ่งพวกที่อยู่ลึกเข้าไปในแผ่นดินใหญ่มาก ๆ ก็ยิ่งต้องขนผลิตผลออกมาเป็นระยะทางไกลกว่าจะถึงท่าเรือ สัตว์พาหนะก็ยิ่งจำเป็นขึ้นไปอีกหลายเท่าเจ้าว่าไหม
ต่อมาในปี ค.ศ. 1784 มีการขุดพบแร่ดีบุกในบริเวณ Ruby Frat ใกล้เซนต์-เฮเลนส์ เหตุการณ์นี้เองเปลี่ยนวิถีชีวิตของชาวบ้านที่นี่ราวกับพลิกฝ่ามือ นักขุดแร่จำนวนมากเดินทางมาขุดหาสายแร่ เงินจากทุกมุมโลกนำมาลงทุนที่นี่ และนักขุด นักลงทุนเหล่านี้ก็ต้องการอาหาร ที่พักอาศัย ทั้งอาหารให้ตัวเอง และอาหารสำหรับม้าของเขาที่ขี่มา พืชผลในฟาร์มของชาวบ้านจึงขายดิบขายดี ตลาดร้านค้าเกิดขึ้นมากมาย โรงแรมตามมา ชุมชนเติบโตเป็นเมือง
ปัจจุบันแม้เหมืองดีบุกจะปิดไปแล้ว แต่เซนต์เฮเลนส์ก็กลายเป็นศูนย์กลางของเมืองแถบตะวันออกเฉียงเหนือของทัสมาเนีย แต่หาดทรายยังทอดยาวขาวสะอาด ป่ายังรกเรื้อเขียวล้อมรอบเมืองให้เป็นเมืองเล็กในป่าใหญ่
ขอบคุณสำหรับซีดีเพลงที่ส่งไปให้ ฟังแล้วคิดถึงบ้านมากรู้ไหม
รักเจ้าหลาย
จาก ข้อยเอง
“เอื้อยนาง”