เสือกลิ่นสาบ
ตอน9. หลังคาร้านอาหารพี่นึก
โดย อินทรี ดำ
การระดมทุกหน่วยงานในพื้นที่เดียวกันมาทำงานภายใต้การบริหารงานคนเดียว ทำให้ทิศทางการบริหารมีเอกภาพ สายการบังคับบัญชาสั้น ทันเหตุการณ์ ใกล้ชิดพื้นที่ที่เต็มไปด้วยทรัพยากรป่าไม้ งานจัดการป่าไม้ดำเนินการไปตามระเบียบของเงื่อนไขป่าสัมปทานทำไม้ระยะยาว งานปลูกป่าเศรษฐกิจด้วยไม้สักและงานปลูกป่าปรับปรุงต้นน้ำด้วยไม้ไม่ผลัดใบยังเหมือนปกติ เพียงแต่ต้องเจียดงบประมาณมาสนับสนุนงานป้องกันและปราบปรามมากขึ้น ตามระบบการบริหารใหม่
ถ้างานป้องกันและปราบปรามได้ผล ป่าถูกทำลายน้อยลง การปลูกป่าก็เบาบางลง แต่สำหรับชาวบ้านร้านค้าในท้องถิ่นที่ห่างไกลจากความเจริญ การหาซื้อไม้ถูกต้องตามกฎหมายจากโรงเลื่อยหรือโรงค้าไม้ “ยาก” ไปซื้อทีละเล่มก็ไม่มีใครมาส่งให้ถึงที่ ครั้นจะซื้อมากๆคราวเดียว ชาวบ้านก็ไม่มีเงินซื้อ ชาติหน้าก็ยังปลูกบ้านสร้างรังให้ลูกอยู่มีอู่ให้นอนตายไม่ได้
การเข้าป่าหาไม้เถื่อนจึงเป็นเรื่องปกติสำหรับชุมชนที่อยู่ใกล้ป่า ซึ่งแต่เดิมทีเดียว กรมป่าไม้เคยมีการให้อนุญาตตัดไม้ใช้สอยเพื่อการสร้างบ้านได้ แต่ด้วยเล่ห์กระเท่ของโรงเลื่อยทั่วประเทศ แอบดอดมาใช้สิทธิ์ตัวนี้แทนชาวบ้าน พูดง่ายๆ ซื้อสิทธิในการขอใช้แทน ชาวบ้านได้เงิน พ่อค้าได้ไม้ ข้าราชการที่เกี่ยวข้องได้เงินค่าบริการ “เอาหูไปนาเอาตาไปไร่”
แต่ชาวบ้านก็ยังต้องสร้างบ้านอยู่ดี ในที่สุดก็หันเข้าหาป่าเลื่อยไม้เถื่อน ซื้อจากพ่อค้าตัวแสบเช่น สจ., ตำรวจ, ป่าไม้
ที่สำนักพัฒนาป่าไม้ที่นน.2 วันนี้มีประชุมฝ่ายอย่างเคร่งเครียด
“ช่วงนี้ หน้าแล้ง ผมอยากขอให้ทุกฝ่ายร่วมกันออกตรวจเป็นพิเศษ ใกล้เปิดเทอมลูกๆ เว้นว่างจากงานไร่ โดยออกสายตรวจ 3 สายคือ สายหนึ่งขอให้พี่ชัยใช้รถแลนด์โรเวอร์หน่วยป้องกันและปราบปราม นำคณะประกอบด้วย พี่ชัย โตมร เอก ศรีคนขับรถ และลูกจ้างประจำ ยงค์ ไปทางน้ำมวบแล้ววกล่องเข้าบ้านห้วยเลา สายที่สองลุงเกียรติไปทางบ้านสันทะและขุนสถาน แล้วย้อนกลับทางเดิมสายนี้ใช้รถสีขาวของธวัช บุญสม แก้ว และคนงานอีก สามคน ส่วนสายที่สาม ผมจะนำคณะปีศาจขาวไต่เขาขึ้นไปทางนาน้อย-บ้านโคก แล้วจะย้อนกลับมาทางเดิมตอนกลางคืน มีสมชาย ประเสริฐ สวัสดิ์ ทวี สา ”
มณีสั่งการเบ็ดเสร็จก็เลิกประชุม
หลังอาหารกลางวัน ทุกสายออกเดินทางไปตามแผนการ เสบียงสำหรับมื้อเย็นถูกจัดเตรียมไว้ให้แล้ว ปืนลูกซองห้านัดมีเพียงสี่กระบอกจึงต้องแบ่งกันไปตามสภาพที่มีอยู่ น้ำมันเชื้อเพลิง เงินสำรองจ่ายพิเศษจากกองกลางที่หัวหน้าสะสมไว้ เบี้ยเลี้ยงพิเศษสำหรับคนที่ไม่มีหน้าที่โดยตรงตามกติกาที่ตั้งขึ้น สายตรวจสำนักปีศาจขาวออกเดินทางไปตามแผน แวะเข้าตลาดเพื่อส่งข่าวปล่อยที่ร้านค้า
พญากระรอกดำ
“ไปทางไหนหัวหน้า” พี่นิจคนขายหมูหน้าตลาดถาม
“บ้านโคกอุตรดิตถ์ เส้นนี้ไม่เคยไปอยากไปดู เห็นว่าทะลุไปบ้านม่วงเจ็ดต้นติดลาวได้อยากไปดูแล้วว่าจะเลยไปวกกลับทางน้ำมวบเวียงสา คงสว่างโน่นแหละครับ”
“เหนื่อยแทนหัวหน้าจังเลย” พี่นิจส่ายหน้าแล้วหัวเราะ
มณีพูดเหมือนการคุยโต้ตอบปกติ พี่นิจพยักหน้าแล้วจัดการเรื่องน้ำแข็งและน้ำดื่มส่งให้ สมชายออกรถสายตรวจวิ่งผ่านร้านอาหารพี่นึกที่เคยกินข้าว สมชายพูดขึ้นลอยๆ
“หลังคาร้านยังไม่มีไม้มั้ง เลยไม่มุงสักที” เสียงหัวเราะฮึๆ
“นั่นซิ ตั้งแต่แกย้ายมาปลูกบ้านที่นี่แล้วต่อโรงอาหารหน้าบ้านก็เห็นคาอยู่นั่นแหละ” มณีพูดต่อ
“เฮ้ย แกอาจจะเปิดโล่งๆ เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศก็ได้นะ”
เสียงหัวเราะดังเบาๆ เหมือนขำ
“คงอีกไม่นานต้องหาไม้มาใส่แน่” ประเสริฐเสริมต่อ
รถพุ่งขึ้นไปตามถนนสายนาน้อย-บ้านโคกเช่นที่เคยไป พนักงานด้านหลังนั่งโต้แดดลมเหมือนไม่รู้สึกร้อนหรือเย็น
“ถ้าเจอจังเบอร์มิลูบหน้าปะจมูกอีกหรือป่านศรนารายณ์ “
สมชายแซว
“ก็งั้นมั้ง เรามานั่งกินข้าวร้านแกนานกี่ปีแล้ว ตั้งแต่ปีพ.ศ.2522จนถึงวันนี้ปี2530 รวม 9 ปี ตอนมากินสมัยนั้นลูกสาวพี่นึกยังเล็กๆ แต่พอปี2529ปลายปีที่เราจัดงานบอลล์หาเงินตั้งกองทุนสวัสดิการผู้สูงอายุภูพยับหมอกบอลล์ มีการประกวดนางงาม ลูกสาวพี่นึกได้เป็นนางงาม โตเป็นสาวเต็มตัวเลย สวยจริงๆ”มณีเล่าถึงความหลัง
ปีศาจขาววิ่งดิ่งขึ้นไปถึง กม.16 สันปันน้ำระหว่างน้ำแหงกับน้ำน่าน มีทางแยกซ้ายมือเข้าไปยังไร่เหล่าที่ชาวบ้านตีนเขาขึ้นมาบุกรุกกันมายาวนาน มณีรีบบอกสมชายให้หันเหรถเข้าไปตามเส้นทาง
“ไปดูหน่อยมันเข้าไปลึกแค่ไหน”
รถไต่ไปตามถนนขนส่งพืชไร่ ที่เป็นหลุมเป็นบ่อ บางจุดเป็นเนินกว้างจนเมื่อลงไปยืนดูจะเห็นแม่น้ำน่านได้ชัดเจน มีหน้าผาที่เรียกกันว่า"ผาหัวสิงห์"ตระหง่านอยู่ริมดอย นี่ก็อีกจุดหนึ่งที่น่าตั้งหน่วยงานเพื่อปลูกป่าปรับปรุงต้นน้ำ มณีเรียกประเสริฐมาคุยใกล้ๆ แล้วกางแผนที่ระวาง 1:50,000 ดู
“สูงจากน้ำทะเลปานกลาง 880 เมตรครับ เป็นขุนต้นน้ำกาดที่ไหลไปลงน้ำแหงที่บ้านศรีษะเกษครับ”
“พื้นที่ป่าที่ถูกบุกรุกหลายพันไร่อยู่นะ น่าจะราวๆ 7-8 พันไร่ได้” มณีคาดเดา กวาดสายตาไปรอบๆ อย่างสุขุม ประเสริฐมองตาม
“ปีหน้าเจียดงบปลูกป่าปรับปรุงต้นน้ำภูพยับหมอกมาลงที่นี่สัก 250 ไร่ ดีไหมประเสริฐ”
สมชายนั่งพิงเบาะหลับตาอยู่ ส่วน สวัสดิ์ สา ทวี เดินไปเดินมาคุยกันเหมือนปกติธรรมดา มณีเดินกลับประเสริฐเข้าที่นั่งประจำ ทุกคนกระโดดขึ้นรถตาม สมชายตื่นขึ้นแล้วสตาร์ทรถดังกระหึ่ม
“กลับ เข้าแผนเดิมคร๊าบ” มณีสั่งค่อยๆ
สายตรวจสำนักยังคงตั้งเข็มทิศไปที่บ้านโคกอุตรดิตถ์ รถปีศาจขาวพุ่งลิ่วลงดอยผ่านผาชู้หน้าผาที่ทีเรื่องเล่า แล้วข้ามแม่น้ำน่าน เลาะเลียบไปตามแม่น้ำน่าน แยกเข้าซ้ายไปตามทางมุ่งสู่บ้านโคก แต่พอผ่านผืนป่าเต็งรังที่เต็มไปด้วยโขดหินซึ่งมีรูปทรงแปลกตา ต้นไม้กำลังผลิใบอ่อน เมื่อตกกระทบกับแสงแดดยามบ่ายแก่ๆ เกิดประกายระยิบระยับ มณีมองผ่านหน้าต่างออกไปด้วยความรู้สึกถึงคุณค่าแห่งสีสันพรรณไม้ป่าที่สวยจับใจ พอถึงเนินสูงสุด มณีส่งสัญญาณให้สมชายหยุด แล้วเดินลงไปถ่ายรูปสวยๆไว้
“ใบไม้ป่าผลิใบอ่อนสวยนุ่มไปอีกมิติหนึ่ง บางต้นให้ใบอ่อนสีสนิมเหล็ก บางต้นสีเขียวอ่อน บางต้นสีแดง และบางต้นสีปูนแห้ง มันเป็นความสวยงามที่หาไม่ได้ในเมือง ป่าเท่านั้นที่เสกสรรค์มันขึ้นมาตามธรรมชาติ”
มณีพรรณนาด้วยอารมณ์สุนทรี ประเสริฐและสมชายได้แต่ฟัง ไม่มีความเห็นใดๆ เหมือนชายผู้ปราศจากอารมณ์โรแมนติก แต่ถ้าเป็นในวงเหล้าหรือรัมมี่ จะได้ยินสองหนุ่มกระเซ้าเหย้าแหย่กันอย่างคึกครื้น นี่คือความแตกต่างของมนุษย์ ชอบในสิ่งที่ตนเองชอบ ไม่ชอบในสิ่งที่ตนเองไม่ชอบ
ตะวันเริ่มคล้อยต่ำลง แสงแดดหลบเหลี่ยมเขาไปแล้ว แต่รถปีศาจขาวยังวิ่งไปเรื่อยๆ ด้วยเส้นทางที่ไม่ราบเรียบนัก ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ หลายสิบกิโลเมตรไม่พบหรือเจอเหตุการณ์การทำไม้เถื่อนๆ เลย เซ็งจริง
สุดเขตอำเภอนาน้อย ถนนลาดฝุ่นยิ่งแย่มากขึ้น บ้านโคกเป็นหมู่บ้านกลางป่าจุดเชื่อมต่อกับอำเภอนาน้อย มีป่าเบญจพรรณเป็นหลัก ไม้สักมองเห็นได้ทุกตารางเมตร ไม้ประดู ไม้มะค่าโมง และไม้ชิงชันยังหนาตา นี่ถ้าเข้าออกสะดวกและอยู่ใกล้ชุมชนก็คงจะหมดไปนานแล้ว
ตะวันลับทิวแมกไม้ มืดสนิท สายตรวจจอดรถใต้ร่มไม้ใหญ่ต้นหนึ่งริมทาง แต่มีลำห้วยเล็กๆ ที่น้ำใสไหลผ่านแก่งหินเสียงดังแซ่ๆ ส่วนยกกล่องข้าวห่อที่เตรียมมาแจกกันคนละห่อ กระติกน้ำใบเก่าใส่น้ำและน้ำแข็งเย็นเฉียบตั้งกลางวง น้ำยาเพิ่มพลังสีชาถูกรินใส่จอกประจำแล้วเวียนกันคนละหนึ่งกรุ๊บ เรียกน้ำย่อยและเพิ่มรสชาติอาหารที่เย็นชืดและฝืดคอ
“มีข้าวเหนียวหมูแดดเดียวอีกห่อใหญ่ ใครไม่อิ่มต่อได้เลยนะ” สมชายร้องบอกพลางแกะห่อข้าวเหนียวนึ่งออก แล้วแผ่กลางวง
หลังอาหารค่ำ ทุกคนหามุมงีบชั่วครู่ เวลาที่ผ่านไปช่างเชื่องช้า ดูนานนับชั่วโมง มณีสะดุ้งตื่นเมื่อได้ยินเสียงเอะอะมาจากหลังกระบะรถปีศาจขาว
“เก้งๆ เร็วๆ ปืนๆ อยู่ไหน “ ส่วนเรียกหาปืนลูกซองที่สวัสดิ์คว้าไปหนุนนอน มณีโดดลงไปแล้วร้อง
“เฮ้ย! ห้ามยิงนะ” มองกวาดไปที่กลุ่มส่วน สา ทวี และสวัสดิ์
ถ้าเจ้าหน้าที่ป่าไม้หรือคณะทำเสียเอง จะไปไล่จับคนอื่นได้อย่างไรกัน
“มันเคยมือครับ” ส่วนพูดพลางยกมือไหว้หัวหน้าด้วยท่าทีสำนึกผิด ทุกคนขึ้นรถแล้วสมชายก็ออกรถกลับทางเดิม
“ไปต่อก็คงพ้นเขตสำนักเราไปแล้ว เดี๋ยวก็งามอีกแหละ” สมชายพูดขึ้น
ปีศาจขาวยังคงตะบึงไปตามเส้นทางเส้นเดิมแต่เป็นการวิ่งย้อนกลับ ถนนที่เป็นหลุมบ่อทำให้การเดินทางกลางคืนช้าไปอีก
“ถ้าไม่พบการกระทำผิดใดๆ คงถึงสำนักราว ตีสองกว่าๆ”
มณีพูดเบาๆ พลางก็มองตามแสงไฟที่ส่วนส่องไปตามแนวป่า บางทีก็เห็นบ่างเหวี่ยงตัวหลบกิ่งไม้ เก้งกระโดดผ่านเร็วมาก กระรอกดำไต่ลงมาตามต้นไม้ ร่องรอยไม้เถื่อนหรือกลับไม่พบอะไรเลย
การออกตรวจวันนี้ใช้เวลาครึ่งวันกับครึ่งคืนเข้าไปแล้ว ยังไม่พบอะไรเลย เหตุการณ์ช่างไม่เป็นใจ รถวิ่งข้ามแม่น้ำน่าน แสงจันทร์ส่องสว่างจ้า เวลายามสองเข้าไปแล้วหรือนี่ สมชายจอดรถกลางสะพาน ดับเครื่องและไฟหน้ารถ ทุกคนลงไปบิดขี้เกียจ อากาศกลางป่าเย็นชื่นใจ รู้สึกปลอดโปร่ง ลมเย็นพัดต้องผิวกาย หายเหนื่อย
มณีมองกวาดไปไกลถึงบนยอดเขา พลันสายตาก็เห็นแสงไฟรถส่ายไปส่ายมาตามโค้งขอบเขา มณีไล่ทุกคนขึ้นรถแล้วให้สมชายเหยียบเต็มที่ รถวิ่งใกล้เข้าไปทุกขณะ แสงไฟจ้าข้างหน้าหลุบหายไปหลังสันปันน้ำ รถปิศาจขาววิ่งข้ามสันปันน้ำแล้ววิ่งจ่อก้นรถบรรทุกไม้ขนาด 4 ตันเบื้องหน้า
“รถ 4 ตัน มีไม้เต็มเลยพี่ ไม้ยาวด้วย ”
สมชายร้องขึ้นด้วยความดีใจ มณีเร่งให้ติดตามเพื่อที่จะอ้อมไปดักหน้าขอตรวจจับกุม แต่รถวิ่งลงดอยสูงไม่ง่ายอาจพลาดลงเหวลึก
เป็นไปดังคาด พอรู้ว่ามีรถตาม คันที่มีไม้เต็มก็เหยียบยกกำลังสอง เสียงเครื่องยนต์ครางกระหึ่มไปทั้งราวป่า
เกมส์การๆล่ล่าเริ่มขึ้น บนไหลเขาสูงและทางลาดฝุ่นสีแดง การขับเคลื่อนรถต้องมีความระวังมากขึ้น แต่ถ้าขับชักช้าก็ไล่ไม่ทัน สมชายเหยียบสุดเท้าคันเร่งจมติดพื้น รถพุ่งใกล้เข้าไปทุกที และเกือบถลาออกนอกโค้งไปหลายครั้ง แต่รถไม้เถื่อนฝีมือเยี่ยม ปาดโค้งได้หวาดเสียวทุกโค้ง ไล่กวดกันจนถึงถนนพับผ้า กม.7 รถสองคันต่างต้องลดความเร็วลงกว่าเท่าตัว
แต่พอพ้นเนินสุดท้ายต่างเร่งเครื่องเต็มกำลัง รถปีศาจขาวเกือบจะแซงได้หลายครั้งแต่แรงเหวี่ยงกระแทกของรถใหญ่ ทำให้ต้องยอมอ่อนแรงลง ยิ่งเมื่อลงมาถึงทางราบลาดยาง ต่างบึ่งกันเต็มอัตราศึก รถวิ่งผ่านหน้าร้านพี่นึกเสียงดังกึกก้อง เสียงไม้กระแทกพื้นดังก้อง เสียงล้อบดถนนดังเอี๊ยดแล้วเอี๊ยดเล่า ก็ยังไล่กันไม่ทัน
รถสี่ตันวิ่งเข้าสามแยกร้านจินดา แล้วเลี้ยวซ้ายแหกโค้งไปอย่างเฉียดฉิว พอถึงประตูสถานีตำรวจนาน้อย รถสี่ตันเลี้ยวเข้าไปจอดพรืดหน้าสถานีตำรวจ สมชายจอดประกบ
พอมณีก้าวลงจากรถ จ่าพลและจ่าแก้วรีบเดินเข้ามายกมือไหว้แล้วพูดขึ้น
“พี่มณี ผมจับมาเอง โธ่ ! ไล่กวดกันอยู่ได้”
ตำรวจบนโรงพักทำหน้าที่เสมียนเวร จ่ากองร้อยและหมวดหนุ่มเดินออกมาดูความโกลาหลที่ลานจอดรถ บางคนหัวเราะ บางคนยิ้มกว้าง
“เหรอ! เอ้าไม่รู้ เห็นขับหนีมาสัก 16 กม.เห็นจะได้ ยาวเลย ดีแล้ว ประเสริฐใช้ ”ค้อนตรายึด” ตีหัวไม้ทุกเล่ม บันทึกการจับกุมร่วมกับจ่าเลยนะ”
มณีสั่งการเสร็จเดินไปโอบเอวจ่าทั้งสองคน แล้วเดินขึ้นไปบนโรงพัก หมวดเดินมาทักทายยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ จ่ากองร้อยและสิบเวรหัวเราะด้วยอารมณ์ขัน
“มันจับตัวมันเองว่ะ”
แล้วจ่ากับคณะก็หัวเราะกันด้วยความขบขัน มณีตีหน้าพาซื่อเพื่อปกปิดพฤติกรรมจ่าตำรวจสองคน ของกลางเป็นไม้ยางแปรรูปไม้หน้า 3 นิ้วครึ่ง หนา
ทุกคนลงชื่อในบันทึกการจับกุม จ่าพลและจ่าแก้ว จดปากกาลงนามร่วมจับกุมด้วยสีหน้าเหยเก ตำรวจเวรยิ้มพยักพเยิดใส่กัน และกัน มณีและคณะลากลับ รถไม้ตามมาส่งของกลางที่สำนักงาน
อีกสามวันต่อมาหลังการตรวจปราบปรามตามปกติ สายตรวจจะต้องแวะไปกินข้าวเย็นก่อนออกตรวจที่ร้านพี่นึก มณีเดินไปสั่งรายการอาหารกับพี่นึกโดยตรง เมื่อสั่งเสร็จก็อดเอะใจไม่ได้และด้วยความสนิทสนมกันมายาวนาน มณีพลั้งปากถาม
“พี่นึก เปลี่ยนบรรยากาศร้านหรือไง ? เปิดหลังคาโล่งแจ้งแดงแจ๋เลย นานแล้วนะครับไม่เห็นเสร็จสักที“
พูดเสร็จก็จะหันหลังกลับไปนั่งรออาหาร เสียงพี่นึกตะโกนมาเต็มเสียง
“จะไม่เปิดโล่งแจ้งแดงแจ๋ได้ยังไงเล่า ก็คืนก่อนมณีไล่ต้อนเข้าโรงพักไปหมดเลย”
มณีฟังแล้วก็ตีหน้าปูเลี่ยนเต็มที ทีมสายตรวจก้มหน้าหัวเราะงอหาย แอบสบตากันปะหลับปะเหลือก พี่นึกกลับเข้าไปต้มยำปลาคังตามสั่งทันที กับข้าวมื้อนั้นอร่อยกว่าปกติ ข้าวหมดสองหม้อ พี่นึกคงอารมณ์เดือดเลยใส่เครื่องไม่บันยะบันยัง รสแซบจริงๆ
“เฮ้ย ใครสังเกตมั้งไหมวะ พี่นึกแกถุยน้ำลายใส่ต้มยำให้เรากินหรือเปล่าวะ อร่อยผิดปกติ ” มณีปุจฉา เล่นเอาทุกคนสะอึกพร้อมกัน