ทำประกันภัยรถยนต์ทั้งที ต้องระวังเรื่องเอกสาร
ธงชัย เปาอินทร์/เรื่อง
ทุกคนที่ซื้อรถยนต์ หวังความสะดวกสบายและปลอดภัย ยิ่งรถยนต์ออกใหม่ป้ายแดงด้วยแล้ว ยิ่งต้องทำประกันภัยรถยนต์แบบชั้นหนึ่งเสมอ บริษัทที่ทำก็ตามที่บริษัทรถยนต์แนะนำหรือแถมฟรี คนซื้อรถยนต์ก็มักจะมักง่ายเซ็นต์ชื่อซื้อประกันทันที ไม่ค่อยได้อ่านรายละเอียดเอกสารกันนัก ก็เลยมีปัญหากับบริษัทประกันภัยบ่อยๆ จนทุกวันนี้มีอีเมลล์ส่งต่อกันไปทั่วโลกไซเบอร์ ผมก็เลยอยากให้เรื่องนี้เป็นเรื่องประดับความรู้และความมั่นใจในบริษัทประกันภัยต่างๆ
นี่คือตัวอย่างหนึ่งของอีเมลล์ที่ได้รับจากนักท่องโลกไซเบอร?ครับ
เรียนคุณดำรงพันธ์
ขอบคุณสำหรับอีเมล์เรื่องการประกันภัยรถยนต์ที่ส่งมาให้ซึ่งมีประโยชน์มากสำหรับผู้ทำประกันภัยรถยนต์ทุกคน และในฐานะที่ผมทำงานทางด้านการประกันภัยมากว่า 30 ปี ผมขออนุญาตเพิ่มเติมเล็กน้อยดังนี้ครับ
ข้อที่ 1 เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2552 เป็นต้นมา ผู้เอาประกันภัยจะต้องชำระเบี้ยประกันภัยก่อนที่กรมธรรม์จะมีผลบังคับ เรียกเป็นภาษาฝรั่งว่า Cash Before Cover ครับ ส่วนเหตุผลหลักๆนั้นน่าจะมาจากการที่บริษัทประกันภัยไม่สามารถเรียกเก็บเบี้ยประกันภัยได้ ทั้งๆที่บางครั้งผู้เอาประกันภัยได้ชำระให้กับ "ตัวแทน" ไปแล้ว ดังนั้นผมจึงขอแนะนำให้ทำประกันภัยผ่านบริษัทนายหน้านิติบุคคล หรือ ทำโดยตรงครับ
ข้อที่ 3 คำว่าแอกเซ็ปต์ ไม่ถูกต้องและเรียกผิดกันมาโดยตลอด ที่ถูกคือ "เอ็กเซส (EXCESS)" แต่ประเทศทางยุโรปโดยเฉพาะที่ประเทศอังกฤษที่เป็นแม่แบบของการประกันภัยนิยมใช้คำว่า "ดีดั๊กติเบิ้ล (DEDUCTIBLE) ซึ่งมีความหมายเดียวกันคือ ความเสียหายส่วนแรกที่ผู้เอาประกันภัยต้องรับผิดชอบเอง ส่วนที่ระบุในข้อนี้ว่าต้องรับผิดชอบถึง 6000 บาทนั้นเป็นเพราะว่าตอนทำกรมธรรม์ผู้เอาประกันเลือกที่จะจำกัดผู้ขับขี่ โดยระบุชื่อผู้ที่จะขับไว้ในกรมธรรม์ ดังนั้นหากผู้อื่นที่ไม่มีชื่อเป็นผู้ขับขี่แล้วเกิดอุบัติเหตุ กรมธรรม์ก็ยังคงให้ความคุ้มครอง แต่จะต้องเสียเอ็กเซส 6000 บาท ซึ่งมีระบุไว้ชัดเจน ที่เป็นเช่นนี้เพราะผู้เอาประกันต้องการจ่ายค่าเบี้ยประกันถูกกว่าปกติครับ
ข้อที่ 5 เพราะมีการดัดแปลง และการดัดแปลงนั้นอาจจะเพิ่มความเสี่ยงภัย ผู้เอาประกันภัยจึงจำเป็นที่จะต้องแจ้งบริษัทประกันภัยทันที และอาจจะต้องเสียเบี้ยเพิ่มแล้วแต่การดัดแปลงครับ
ข้อที่ 6 ไม่น่าเป็นปัญหา เพราะเวลามีอุบัติเหตุ surveyor ของบริษัทที่ทำประกันภัยจะต้องมา แม้ว่าคู่กรณีจะไม่มีประกันภัยก็ตาม และคงไม่มีการเปลี่ยนจากถูกเป็นผิดอย่างแน่นอน เพราะถ้าเราเป็นฝ่ายถูก บริษัทที่เราทำประกันก็สามารถไปฟ้องร้องค่าเสียหายคืน (RECOVERY) จากคู่กรณีได้ครับ
ข้อที่ 8 โดยปกติแล้วเมื่อเกิดอุบัติเหตุแล้วไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยอมรับผิด คู่กรณีทั้ง 2 ก็จะต้องไปเจรจาที่โรงพัก และเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ทำการพ่นสีที่อยู่ในเหตุการ หรือบางทีมาไม่ทัน (เพราะรถเกียร์ว่าง) surveyor ก็จะถ่ายภาพไว้ และนำหลักฐานต่างๆมาชี้ผิดชี้ถูกโดยตำรวจที่โรงพัก แต่ถ้ายังไม่ตกลงอีก ก็จะต้องส่งเรื่องไปที่จราจรกลางเพื่อชี้ขาดต่อไปครับ นอกจากนี้แล้ว surveyor จากบริษัทประกัน "ไม่มีหน้าที่ตกลงเจรจา" ครับ (อาจจะมีการแนะนำในฐานะลูกค้าของบริษัทว่าขั้นตอนเป็นอย่างไร และควรจะเจรจาอย่างไร เป็นต้น) ผู้เอาประกันภัยจะต้องเจรจาเอง ส่วนผลออกมาอย่างไร surveyor ก็จะออกใบเคลมให้ตามนั้นครับ เช่นถ้าผู้เอาประกันภัยเป็นฝ่ายผิดก็จะต้องเสียค่าปรับที่โรงพัก จะมีการลงบันทึกประจำวัน แล้ว surveyor ก็จะออกใบเคลมให้ทั้งสองฝ่ายเพื่อนำรถไปซ่อมครับ
ข้อที่ 9 ข้อนี้ผมค่อนข้างมั่นใจว่าถ้าปริมาณแอลกอฮอล์เกินกว่าที่กำหนด บริษัทประกันภัยสามารถปฏิเสธการจ่ายเคลมได้ แต่เรื่องใบอนุญาตขับขี่นั้นตอนหลังได้มีการเปลี่ยนแปลงคือไม่มีการระบุเป็นข้อยกเว้นในกรมธรรม์เรื่องไม่มีใบขับขี่ จึงเข้าใจว่าแม้ไม่มีใบขับขี่ก็จะได้รับความคุ้มครอง ตรงนี้ผมคิดว่าเป็นเรื่องน่าห่วงมาก ถ้าเป็นอย่างที่ผมเข้าใจ สมัยก่อนมีการระบุชัดเจนเรื่องไม่มีใบขับขี่ แต่ตอนนี้ไม่ทราบถึงความตั้งใจของ "ผู้ออกกฎ" น่าห่วงจริงๆครับ ทุกอย่างดูจะออกมา แบบ "3 ถ" แล้วบริษัทประกันภัยก็ชอบบ่นว่าขาดทุนมาโดยตลอด ยิ่งตอนนี้มี Promotion แปลกๆออกมา ซึ่งต้องระวังให้มากๆนะครับ ผมขอยืนยันว่า ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่ "ถูกและดี" รถผมเองทุกคันก็เสียเบี้ยเต็มอัตราเพื่อความคุ้มครองที่ครอบคลุมที่สุดครับ (ประกันที่บริษัทกรุงเทพประกันภัย)
ผมได้ส่งอีเมล์ฉบับนี้ไปให้ "ผู้เชี่ยวชาญทางด้านการประกันภัยรถยนต์" ท่านหนึ่ง ถ้าหากผมอธิบายไม่ชัดเจนหรือผิดพลาดประการใด ท่านจะได้ช่วยชี้แจงให้ชัดเจนอีกแรงหนึ่งครับ
หวังว่าคงได้ประโยชน์บ้างนะครับ
หม่อม
Date: Mon, 12 Apr 2010 21:04:22 +0700
Subject: Fwd: ประกันภัย...ความลับที่ประกันภัยไม่ยอมบอกคุณ
From: damrongphand1@gmail.com
|