หลงเสน่ห์อยุธยา ๓
วุ่นวายในห้วงแห่งวังเวง
“เอื้อยนาง”
เพื่อนดึงฉันขึ้นรถหน้าเตารีดคันเดิม มีสารถีหน้าเดิมที่ดูไร้อารมณ์ ไม่รู้สึกรู้สม แต่กลับรู้ใจ เพราะเขาสตาร์ทเครื่องพารถพุ่งออกจากที่ทันที ขณะผู้โดยสารยังไม่หย่อนก้นลงนั่งด้วยซ้ำ
“เดี๋ยวซีคะ...”
เงื้อมือจะเคาะกระจกรถบอกเขาให้รอก่อน กลับต้องหุบปากลงพลัน เพราะใครบางคนที่ฉันกังวลถึง และจะให้รถรอ มาอยู่ที่เบาะหน้าเคียงข้างกับคนขับแล้ว นั่นคือลูกตาลจากบ้านโปรตุเกส นอนกลิ้ง ติงไหว ราวกับจะโยกส่ายไปตามจังหวะกระโดดกระดอนของเจ้ารถคันเล็ก ที่กำลังพุ่งออกจากที่ราวกับติดจรวด
“อ้อ อยู่นั่นเองเจ้าลูกตาล” ฉันรำพึงเพราะปรากฏภาพซ้อนของคนตัวเล็กผมสีน้ำตาลปรากฏขึ้นราง ๆ แทนผลกลม ๆ ของลูกตาลจากบ้านโปรตุเกส เพื่อนของฉันนตะโกนแข่งกับเสียงรถมาว่า
“ใช่... กลิ่นมันหอมจนฉันอดอุ้มขึ้นมาด้วยไม่ได้ ตอนขามาฉันนั่งข้างหน้าเลยยังวางอยู่ตรงนั้น”
ฉันถอนหายใจคลายกังวล มองเจ้าลูกตาลที่หันมาสบตา แล้วกระซิบแสนเบาเพื่อสื่อถึงเขาเท่านั้น “นึกว่าหลงอยู่ในฝูงชนซะแล้ว” แต่เพื่อนกลับหูไวได้ยินเลยประชดออกมาว่า
“ถ้าจะหลงก็คงเป็นเพราะความมืดมัวจากควันธูป เทียน บดบังมากกว่า เธอดูซิว่าเขาเผาธูป เผาเทียน กันราวกับต้องการจะสร้างเมฆหมอกมาปกคลุมบ้านเมืองกระนั้น”
“ก็นั่นนะซี” ฉันผสมโรง ส่งสายตาขึ้นไปจับกลุ่มควันที่รวมตัวกันเป็นลำลอยสูงขึ้นเหนือหลังคาอาคารต่าง ๆ ที่มีมากมาย มลังเมลือง ในวัด ทั้งโบสถ์ วิหาร ศาลา และแผงเพิง เก่า ใหม่ ปลูกสร้างเรียงรายรองรับแรงศรัทธาของผู้คนที่หลั่งไหลเข้าวัด
แสวงหาโชคลาภ และความสงบเย็น ปลดเปลื้องความทุกข์ร้อนที่หมักหมมสั่งสมในหัวอก จนโป่งพองกลัดหนองรอเวลาแตกปริ ท่ามกลางความเจริญรุ่มรวย และรุดหน้าทางเศรษฐกิจ รูปเคารพเล็กใหญ่ มากมาย หลากหลายลัทธิประดิษฐานไว้เป็นซุ้ม เป็นส่วน ให้ได้กราบไหว้บูชาตามอัธยาศัย ในครรลองความเชื่อแห่งตน แผง และตู้จำหน่ายเครื่องราง ของขลัง เครื่องช่วยความหวัง เครื่องช่วยปกป้อง คุ้มครองตัวตนของแต่ละคนตั้งอยู่มากมาย รุกล้ำแผ่ลามไล่ที่ต้นไม้ต้นไร่ให้หดหาย
แผงสินค้าขายของที่ระลึก เครื่องใช้ ของฝาก ล้วนสวยงามแปลกตาบ่งบอกถึงความคิดสร้างสรรค์ของผู้สรรสร้างมันขึ้นมา ตั้ง วาง เสนอขายจนบริเวณวัดคับแคบคลาคล่ำแทบไม่มีที่จะย่ำเดิน
“เราน่าจะบูชาเหรียญมาบ้างนะ” ฉันเพิ่งนึกได้
“สายไปแล้วจ้ะ” เพื่อนบอก ซึ่งก็จริง เพราะรถหน้าเตารีดคันเก่งพาเราวิ่งเหาะลดเลี้ยวออกจากวัด เลี้ยวซ้าย วกขวา ตรงไป...มองกลับหลังไม่เห็นแม้กลุ่มควัน หรือหลังอาคารมลังเมลืองแล้ว
“เอ๊ะ...เธอบอกเขาให้พาไปที่ไหน” ฉันเอะอะเมื่อเห็นรถวิ่งผ่านย่านใจกลางเมืองเก่า ซากปรักหักพังที่ยังดูสง่า และขรึมขลัง ทรงเสน่ห์ให้อยากแวะเยือน
“ยังไม่ได้บอกเลย” เพื่อนทำหน้าตื่น “เพียงให้พามาหาเธอให้เจอก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
ช่างเถอะ เราสรุป รถหน้าเตารีดที่แล่นรับจ้างทุกคันในเมืองนี้เป็นไกด์นำเที่ยวอยู่แล้ว เราสองคนจึงวางใจ นั่งไปเงียบ ๆ สักพักเพื่อนก็ควักเสบียงออกจากถุงมายื่นให้ กินกันหิว เป็นแซนด์วิชจากร้านสะดวกซื้อ และน้ำดื่มขวดเล็ก
มัวกินกันเพลิน ๆ เห็นรถพาข้ามสะพานก็เอะใจว่าเขาพาเราออกนอกเกาะเมืองผ่านสะพานสูงลิบลิ่วรถวิ่งฉิวจนลมเฉียดต้องหลับตา ครั้นลืมตาขึ้นอีกทีฉันกลับพบว่าบ้านเรือนสองข้างถนนแปรเปลี่ยนไปเป็นบ้านเรือนแบบไปไทยใต้ถุนโปร่ง หลังคาจั่วแหลมแทรกซุกในต้นไม้ใหญ่
หรือจะเป็นย่านเก่าแก่ของอยุธยา หรือว่าจะเป็นผู้บ้านที่จัดแสดง ดูผู้คน การแต่งเนื้อแต่งตัว ข้าวของเครื่องใช้ที่แตกต่าง และถนนด้วยซีที่เป็นเพียงผิวดิน
รถชะลอความเร็ว จากเหาะมาเป็นวิ่งธรรมดา ไปตามถนนแคบ ๆ ที่ดูคล้ายกับแหวกผ่าเข้าในสวนหมากพลู และไม้ผล ไม้ดอกต้นสูง ๆ ที่มีบ้านเรือนโบราณเสาสูง ๆ ปลูกอยู่เรียงรายใต้เงาแมกไม้ หลังคาแหลม ๆ ของบ้านคล้ายเป็นส่วนหนึ่งของกิ่งก้าน ดอกใบ แทรกซอนสลับสลอน
รถคันเก่งมาจอดกึกที่ลานกว้างใต้ต้นก้ามปูใหญ่ หมู่เรือนไทยตั้งเรียงอยู่ไกลออกไปทางแม่น้ำที่มีเรือสำเภาลำใหญ่จอดอยู่ริมท่า หมู่คนจำนวนหนึ่งทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ ชาย หญิงนั่งอยู่รวมกันที่ลานคล้ายกำลังชุมนุมรอคอยอะไรบางอย่าง หรือใครบางคน
ทุกผู้คนล้วนแต่งกายย้อนยุค ผู้หญิงบางคนไม่นุ่งเสื้อ แต่กลับมีผ้าพันอกแทน ทุกสีหน้ากำลังหมกมุ่นราวกับมีเรื่องเดือดร้อนในใหญ่หลวง แต่ต่างนิ่งเงียบงัน ที่สำคัญไม่มีใครสนใจเรา ไม่มีใครมีปฏิกิริยาว่ามองเห็นเรา ทั้ง ๆ รถหน้าเตารีดดูแปลก ราวกับสัตว์ประหลาดในที่นั้น มันมาจอดกึกกลางวงที่พวกเขานั่งรายล้อม เด็กและผู้หญิงบางคนกำลังสะอื้นกระซิกอยู่แผ่วเบา
เจ้าหัวลูกตาลกระโดดลงจากรถไปก่อน แล้วกวักมือเรียกอยู่ไหวๆ ฉันบอกเพื่อนให้คอยบนรถ ซึ่งเธอก็ทำสีหน้าบอกให้รู้ว่าพออกพอใจจะทำอย่างนั้นมากกว่าอยู่แล้ว
“ฉันเคยไปหมู่บ้านชาวเขาทางเหนือ ที่เขาจัดแสดงมาเหมือนกัน แต่ไม่เห็นบรรยากาศมันจะลึกลับน่ากลัวอย่างนี้นี่นา...” เพื่อนบ่น แต่ฉันไม่มีเวลาฟังแล้ว ด้วยมือเล็ก ๆ ที่ทรงพลังของเจ้าหัวน้ำตาลยื่นมาฉุดดึงให้รีบเดินตาม
ผู้คนที่นั่งอยู่เรียงราย คือ ทาส และบริวารของเจ้าของเรือนใหญ่ หลังกลางซึ่งตั้งเป็นประธานในหมู่เรือนท่ามกลางแมกไม้นั่นเอง บัดนี้เจ้าพระยาเจ้าของบ้านนั่งคอตกอยู่บนตั่งใหญ่ใต้ถุนเรือนที่หันหน้าสู่แม่น้ำ เครื่องใช้ที่บ่งบอกตำแหน่งฐานะวางตั้งอยู่บนโต๊ะเตี้ย ๆ กำลังได้รับการบรรจุลงหีบห่อเตรียมออกเดินทาง ท่านเจ้าของผู้เคยเปี่ยมอำนาจ บารมี ซึ่งเหมือนมีดดาบที่มีสองด้านให้ผู้แบกถือต้องระมัดระวังเสมอ
บัดนี้ชายผู้นี้มีอาการคล้ายคนหันดาบด้านคมมาเฉือนถูกตัวเองให้เจ็บปวดทั้งใจและกาย แต่ไม่สามารถร้องขอหรือโวยวายโทษว่าผู้ใดได้ อำนาจและบารมีเป็นเรื่องที่หนักหน่วงเช่นนี้
เหล่าทาสและบริวารที่ด้านนอก และสมาชิกที่ห้อมตัวเขาอยู่ต่างเงียบงัน เงียบแม้ดวงใจทุกดวงจะร้องไห้คร่ำครวญ
“ยามาดะ นางามาซะ” เจ้าหัวลูกตาลหันมากระซิบบอก ทำให้ฉันต้องเพ่งพิศและนึกออกราง ๆ ถึงประวัติศาสตร์อยุธยาช่วงหนึ่ง ในสมัยพระเจ้าปราสาททอง ต้นราชวงศ์ปราสาททอง ที่ชาวญี่ปุ่นเข้ามาอยู่ในสยามจนสั่งสมอำนาจบารมีได้เป็นถึงออกญา “ออกญาเสนาภิมุข นั่นละหรือ”
“ใช่เขาถูกสั่งให้ย้ายไปอยู่นครศรีธรรมราช” เจ้าลูกตาลตอบแล้วออกเดินสำรวจไปรอบ ๆ ส่องมองดูผู้คนที่นิ่งขึงราวกับมองไม่เห็นสิ่งใด นอกจากตัวนายใหญ่ที่นั่งเป็นศูนย์กลาง เขามองไม่เห็นเรา แม้เจ้าลูกตาลจะไปแตะต้องสะกิดสะเกา
“เจ้าทำท่าคล้ายกำลังค้นหาใคร” คำถามนี้ฉันควรถามตั้งแต่เหตุการณ์ที่วัดหน้าพระเมรุแล้ว
“หาแม่ของผม” เขาว่าแต่ไม่หยุดเดิน
เขาไม่หยุดเดินแม้ชายร่างใหญ่ที่ชื่อ ยามาดะ คนนั้นจะลุกขึ้นนำหน้าขบวนคนทั้งหลายในที่นั้นเดินลงไปที่เรือที่ลอยลำคอยอยู่ท่าน้ำ แล้วหายไป และฉันก็เดินกลับ
มาหาเพื่อนที่นั่งคอยบนรถหน้าเตารีด ซึ่งบัดนี้สารถีหน้าเฉยก้าวลงมายืนบนพื้นชี้ไม้ชี้มือแนะนำสถานที่ ที่เขามาเรามาเที่ยวชม
“นี่ที่ คือ หมู่บ้านญี่ปุ่นไงครับ ผมว่าที่นี่น่าจะไม่วุ่นวายเหมือนในวัด” ฉันพยักหน้าแลไปโดยรอบตามมือชี้ของเขา
แล้วก็ต้องตกตลึงใช้มือกุมขมับอีกครั้งหนึ่ง เมื่อปรากฏทุกอย่างตรงหน้าเปลี่ยนไป หมู่เรือนไทยในแมกไม้ไม่มีให้เห็นแล้ว กลับมีอาคารที่ทำการแบบสมัยปัจจุบัน และสวนสวยแบบญี่ปุ่นผสมผสานไม้ไทยขึ้นมาแทน
“ก็ดี...ฉันไปซื้อบัตรก่อนนะ” เพื่อนของฉันคุณนัน ว่าพลางก้าวเดินไปที่ซุ้มหน้าประตูจัดการซื้อบัตรผ่าน
เสียงเรือเร็วดังมาจากทางด้านแม่น้ำ ถัดจากสวน และส่วนที่เป็นแผงขายสินค้าาขายของที่ระลึกเข้าไป เจ้าหัวลูกตาลกวักมือเรียกอยู่ไหว ๆ ฉันจึงเดินลิ่วไปหา ไปยืนด้วยกันใต้อาคารสีขาวริมฝั่งเจ้าพระยาที่มีเรือลากจูงขบวนยาวไหลเอื่อย ๆ ไปตามแม่น้ำ “โน่นไงหมู่บ้านโปรตุเกสบ้านของผม” เขาชี้มือไปอีกฟากฝั่งของแม่น้ำเจ้าพระยา มองเห็นศาลาท่าน้ำฝั่งโน้นอยู่ลิบ ๆ เฉียง ๆ ขึ้นไป ต้นตาลสูงเด่นราวกับจะโบกมือเรียก อยู่ไหว ๆ
เด็กชายคนนี้กำลังตามหาแม่ของเขาละหรือ
แม่ของเขาอยู่บนต้นตาลนั้นหรือเปล่าหนอ