การจัดการป่าอนุรักษ์ในฝัน
โดยธงชัย เปาอินทร์
ต้นแบบการจัดการพื้นที่ป่าอนุรักษ์ในประเทศอเมริกา เป็นรูปแบบที่ได้รับการยอมรับและถือเป็นแบบอย่างที่ควรศึกษา พัฒนา และปรับเปลี่ยนเพื่อการนำไปใช้ประโยชน์อย่างเหมาะสมกับพื้นที่ป่าอนุรักษ์ในประเทศอื่นๆ ที่อาจมีปัจจัยสิ่งแวดล้อมและช่วงเวลาที่แตกต่างกัน จะอย่างไรก็ตามหลักการต้องเป็นหลักการ แต่การจัดการอาจเพิ่มหรือแปรเทคนิคได้ตามความเหมาะสม เกิดอะไรขึ้นกับการจัดการพื้นที่ป่าอนุรักษ์ของประเทศไทยหรือ ? ไฟป่าและการป้องกันป่าจากการรุกรานของมนุษย์จึงเป็นหอกตำใจ
ต้นแบบในประเทศอเมริกา
ต้องเริ่มต้นที่ภูมิประเทศ อเมริกาเป็นเมืองหนาว มีหิมะและมีกราเซียร์เป็นตัวปลดปล่อยน้ำ การสร้างเขื่อนในประเทศนี้จึงเป็นเขื่อนป้องกันอุทกภัยจากน้ำที่ละลายจากหิมะและกราเซียร์ พื้นที่ป่าอนุรักษ์เป็นพื้นที่ที่เขาเห็นว่ามีความสำคัญต่อกิจกรรมโดยรวมของสาธารณะชนทั้งประเทศเป็นหลัก คนกับป่าแบ่งแยกกันอย่างชัดเจน การประกาศจัดตั้งพื้นที่ป่าอนุรักษ์จึงเป็นป่าที่ปราศจากคนที่อาศัยอยู่ในเขตป่า ในขณะที่คนรอบพื้นที่ป่าอนุรักษ์มีจิตสำนึกที่พรักพร้อม และการจัดการกระทำตามหลักวิชาการที่ประณีต(intensive) แบบเบ็ดเสร็จในองค์รวม(one stop service)
พื้นที่ป่าอนุรักษ์ของอเมริกาจึงเป็นพื้นที่ที่อาจประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติ เป็นคำประกาศศักดิ์สิทธิ์ มีการโยกย้ายชาวอินเดียนออกจากพื้นที่ เพื่อให้ป่าอนุรักษ์คงความสำคัญและรอดพ้นจากการรุกรานของมนุษย์ แต่เมื่อมีการท่องเที่ยวที่จำเป็นต้องโชว์วิถีชีวิตชาวอินเดียนแดง เขาเหล่านั้นแต่งสูทและขับรถเก๋งกลับไปแต่งองค์ทรงเครื่องและแสดงให้นักท่องเที่ยวชม เลิกก็กลับสู่ชุมชนที่อยู่อาศัย เป็นเงื่อนไขที่ทุกคนยอมรับ
ภายในอุทยานแห่งชาติหรือป่าอนุรักษ์บริบูรณ์ด้วยการบูรณาการการบริหารทรัพยากรอย่างยั่งยืนและมีความชัดเจนเรื่องวิชาการ กิจกรรมที่เกี่ยวข้อง ในแต่ละอุทยานแห่งชาติมีหัวหน้าอุทยานเป็นผู้บริหารสูงสุด สถานะของหัวหน้าอุทยานแห่งชาติที่นี่มีศักดิ์ศรีและความน่าเชื่อถือ ผู้ว่าการรัฐแต่ละรัฐต้องเชิญเป็นที่ปรึกษา การบริหารขึ้นตรงกับส่วนกลางของกรมป่าไม้ของประเทศ
องค์ประกอบในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของอุทยานแห่งชาติอเมริกาจึงประกอบด้วย
1.การจัดการป้องกันรักษาป่า สัตว์ป่า พันธุ์พืชและอุบัติภัยนานาประการ แต่งานนี้อเมริกาไม่มีปัญหาจากคนเหมือนประเทศไทย ไม่มีการลักลอบตัดไม้ทำลายป่า ไม่มีการบุกรุกที่ดินอุทยาน ไม่มีไร่เลื่อนลอย คนมีสำนึกที่สมบูรณ์ ชุมชนรอบอุทยานยอมรับและร่วมอนุรักษ์เพราะว่ามันคือทรัพยากรของทุกคนและของชาติ มีส่วนร่วมในการเฝ้าระวังหากอุทยานหรือใครเข้าไปทำความเสียหาย(Stakeholder) อันนี้รวมตลอดถึงการจัดการสัตว์ป่าที่อาศัยอยู่ในอุทยาน ต้นไม้หักขวางทางจราจร หิมะถล่ม แผ่นดินถล่มไหลลงมา
2.การฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นหน่วยงานหนึ่งในอุทยานที่สั่งการโดยมีหัวหน้าอุทยานเป็นผู้สั่งการ แต่มีหัวหน้าสาขาที่รับผิดชอบในการปฏิบัติโดยยึดหลักการ การฟื้นฟูทรัพยากรต้องกลมกลืนกับทรัพยากรธรรมชาติเดิมที่เคยมีอยู่เช่น ฟื้นฟูป่าที่เสื่อมโทรมจากไฟป่าหรือเพิ่มศักยภาพพืชอาหารสัตว์ป่าด้วยพันธุ์ไม้ที่มีถิ่นกำเนิดในท้องถิ่น แต่อาจเป็นพันธุ์ไม้ป่าในประเทศอเมริกาที่มีเผ่าพันธุ์อยู่นอกเขตอุทยานนั้นได้ ไม่เปลี่ยนแปลงไปจากพื้นฐานเดิม หน่วยงานนี้เหมือนหน่วยจัดการต้นน้ำในเมืองไทย
3.การศึกษาและวิจัย เป็นอีกหน่วยงานหนึ่งที่ต้องกระทำตลอดเวลาที่ผ่านไป เพราะว่าอาจเกิดความไม่เหมาะสมได้ในช่วงเวลาหนึ่ง แต่อาจเกิดความเหมาะสมในอีกช่วงเวลาหนึ่ง การศึกษาวิจัยจึงต้องกระทำทั้งสองทาง ด้านวิชาการซึ่งอาจเป็นด้านป่าไม้ ด้านภูมิสถาปัตย์ ด้านการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ อาจคาดคะเนย์ว่า กราเซียร์ในพื้นที่จะละลายมากขึ้นเพราะการเปลี่ยนแปลงของอากาศ(Climate change) ด้านการมีส่วนร่วมของนักท่องเที่ยว ประชาชน และองค์กรเอกชน การป้องกันและดับไฟป่า การศึกษาและวิจัยเพื่อผลการพัฒนาการจัดการอุทยานแห่งชาติอย่างถูกต้องและเหมาะสม ซึ่งประเทศไทยทำในทางตรงข้ามมากที่สุด
เพราะว่าเขามีหิมะตก สีกลมกลืนกับธรรมชาติ
4.การนันทนาการและสื่อความหมาย เป็นกิจกรรมที่เน้นมากด้วยหลากหลายกรรมวิธี และมีการปรับเปลี่ยนเพื่อความเหมาะสม มีความปลอดภัย มีความคิดสร้างสรรค์ มีวิชาการและทฤษฎี เช่นถ้านักท่องเที่ยวจะเข้าไปท่องเที่ยวในเส้นทางศึกษาธรรมชาติที่กำหนด ระยะไกล-กลาง-ใกล้ ก่อนเข้าเขาจะให้ลงทะเบียนเวลาเข้า ชื่อที่อยู่ ชื่อผู้ที่สามารถติดต่อได้ ระบุเวลาออก หากผิดเวลาอาจหิมะถล่มหรือเกิดอันตราย ฝ่ายจะแจ้งไปยังหน่วยป้องกันและจัดการอุทยานติดตามทันที
5.การป้องกันและดับไฟป่า เป็นกิจกรรมหลักที่อุทยานมีความพร้อม เป็นหน่วยงานที่สำคัญและต้องบัญชาการด้วยความรวดเร็วทันเหตุการณ์ มีเอกภาพการบริหารอย่างเต็มที่ ทั้งนี้เนื่องจากสภาพป่าของอเมริกาเป็นต้นสนซึ่งมีน้ำมันในเนื้อไม้เสียส่วนใหญ่ การเกิดไฟป่าแต่ละครั้งรุนแรงและต้องควบคุมใกล้ชิดด้วยอุปกรณ์พร้อมสรรพ รถดับเพลิง เฮลิคอปเตอร์ น้ำยาเคมี น้ำ หอดูไฟ แนวกันไฟป่า ทางตรวจการ การชิงเผา และบุคคลากรที่ฝึกปฏิบัติการอย่างชำนาญการ เรียกว่ามีวัสดุอุปกรณ์ที่พร้อมใช้งานอย่างสม่ำเสมอ มีให้ใช้ได้ตลอดเวลาของการเกิดอุบัติภัย มีอำนาจสั่งการและปฏิบัติการได้อย่างรวดเร็วทันเหตุการณ์ ที่สำคัญมีวิชาการที่ผ่านการศึกษาและวิจัย เป็นหน่วยหนึ่งในกิจกรรมการป้องกันและดับไฟป่าที่อุทยานบัญชาการโดยตรง
6.ภูมิสถาปัตย์และวิศวกรรม เจ้าหน้าที่ที่มีฐานความรู้เรื่องภูมิสถาปัตย์และวิศวกรรมจะช่วยให้การจัดการอุทยานในเรื่องการก่อสร้างถนนป่าไม้ ทางตรวจการ อาคารสิ่งก่อสร้างนานาประเภทที่กลมกลืนและโดดเด่นมีเอกลักษณ์ที่จดจำได้ เพิ่มความสะดวกและสุขสบายเมื่อพักค้าง หรือแม้แต่กิจกรรมการพักค้างนอกอาคารเช่นการกางเต็นท์ การสร้างจุดชมวิว ฯลฯ ทุกอย่างมีวิชาการเฉพาะทางที่เป็นอีกองค์ประกอบที่สำคัญต่อการจัดการ โดยคำนึงหลักความปลอดภัยของผู้รับบริการ
7.การประชาสัมพันธ์ เป็นเรื่องใหญ่ที่มีเจ้าหน้าที่ที่รู้และสามารถให้ข้อมูลได้อย่างตรงประเด็น มีความเข้าใจทั้งนักท่องเที่ยวและเจ้าหน้าที่ มีความพร้อมที่จะเผยแพร่ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย เป็นหน่วยงานที่ผลิตข่าวสารสื่อถึงนักท่องเที่ยวและประชาชนในสังคมอย่างต่อเนื่องและมีหลักวิชาการ ไม่กล่าวอ้างสร้างข่าวแบบปกปิดและเลื่อนลอย โปร่งใส ตรวจสอบได้ เอกสารที่แจกสวยงามและมิใช่เพียงน่าจับต้อง หากแต่น่าเก็บรักษาไว้เป็นอนุสรณ์ที่ได้ผ่านเข้าไปในอุทยานแห่งชาตินั้นๆ ด้วย
ทิศทางการจัดการพื้นที่ป่าอนุรักษ์ในประเทศไทย
ต้องสร้างความรู้ให้เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่า ประเทศเขตร้อนอาศัยป่าไม้เป็นตัวปลดปล่อยน้ำ ไม่มีป่าจึงไม่มีน้ำ ไม่มีความชุ่มชื้น ไม่มีความอุดมสมบูรณ์ มีตะกอนตกสู่ที่ต่ำ และภูมิอากาศแปรปรวน ทฤษฎีการอนุรักษ์ป่าต้นน้ำจึงเพื่อ การปลดปล่อยน้ำในปริมาณที่สม่ำเสมอ มีปริมาณมากพอเพียง มีคุณภาพที่ดีใสสะอาดปราศจากตะกอนและสิ่งเจือปน จะอนุรักษ์น้ำจึงต้องอนุรักษ์ป่าต้นน้ำ ถ้าเข้าใจทฤษฎีดังกล่าว การกำหนดพื้นที่ป่าอนุรักษ์จึงควรที่จะต้องกำหนดพื้นที่เป็นลุ่มน้ำ มีข้อมูลพื้นฐานเรื่องพื้นที่ป่าต้นน้ำ การพัฒนาที่อยู่อาศัยของคนในลุ่มน้ำ การพัฒนาที่ดินทำกิน การพัฒนาสาธารณูปโภคและบริโภค ซึ่งถ้ากำหนดได้ดังกล่าวจะเพิ่มศักยภาพการกำหนดยุทธศาสตร์และการประเมินได้อย่างถูกต้องและชัดเจน
แต่ทุกวันนี้ประเทศไทยจัดการทรัพยากรธรรมชาติป่าไม้และสัตว์ป่าด้วยการแยกส่วนการบริหารจัดการ เป็นอุทยานแห่งชาติส่วนหนึ่ง เป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอีกส่วนหนึ่ง และอีกส่วนหนึ่งที่เป็นป่าเสื่อมโทรมจากการทำไร่เลื่อนลอยมีหน่วยงานจัดการต้นน้ำ แต่ทั้งสามส่วนดังกล่าวกลับชัดเจนว่า ในป่ามีคนเป็นองค์ประกอบที่รวมอยู่ด้วยแทบทุกพื้นที่ป่าอนุรักษ์
นั่นคือการประกาศเขตป่าอนุรักษ์ปราศจากหลักวิชาการ ทฤษฏีที่ไม่แน่นอน โดยเฉพาะเรื่องคน มีเพียงอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งเท่านั้นที่เมื่อประกาศเป็นพื้นที่ป่าอนุรักษ์ก็อพยพคนออกจนหมดสิ้น ในภายหลังมีการเร่งและแข่งกันประกาศพื้นที่ป่าอนุรักษ์บนกระดาษแผนที่ จึงวงทับพื้นที่อยู่อาศัย พื้นที่ทำกินของชุมชนรวมไปทั้งหมด แต่ไม่มีการอพยพออก เป็นกรรมวิธีปัดฝุ่นเข้าใต้พรม ปัญหาจึงลุกลามมาตราบทุกวันนี้ และเกิดกระบวนการแก้ไขในหลักการ “ป่าอยู่กับคน” อันเป็นการแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุและปราศจากหลักการป่าอนุรักษ์ต้นแบบ
กระท่อมน่ารัก
เมื่อทฤษฎีผิด การบริหารจัดการผิดตามหรือไม่ ?
วันนี้ กรมอุทยานแห่งชาติ,สัตว์ป่าและพันธุ์พืช เขาบริหารจัดการป่าอนุรักษ์อย่างไรกัน
1.สำนักอุทยานแห่งชาติ บริหารจัดการพื้นที่ป่าอนุรักษ์ด้วยการประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติ มี พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติเป็นเครื่องมือ โดยมีกิจกรรมการจัดการอุทยาน (มีหน่วยพิทักษ์อุทยาน) การนันทนาการและสื่อความหมาย การวางแผนการและสำรวจจัดตั้งอุทยานเพิ่มขึ้น การศึกษาและวิจัย แต่ไม่มีการป้องกันและดับไฟป่า (ไม่มีอุปกรณ์และเครื่องมือที่รวมถึงงบประมาณ ไม่มีวิชาการการป้องกันเรื่องแนวกันไฟและการชิงเผา) มักอ้างว่ามีหน่วยป้องกันไฟป่าตั้งอยู่แล้วเช่นที่เขาใหญ่ ฯลฯ ไม่มีหน่วยงานภูมิสถาปัตยกรรมละวิศวกรรม ไม่มีการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติโดยตรง และในสำนักบริหารพื้นที่ป่าอนุรักษ์ที่ 1-16 มีส่วนนี้อยู่ด้วย
2.สำนักอนุรักษ์สัตว์ป่า บริหารจัดการพื้นที่ป่าอนุรักษ์ด้วยการประกาศเป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า มี พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าเป็นเครื่องมือ มีกิจกรรมการจัดการสัตว์ป่า(มีหน่วยพิทักษ์สัตว์ป่า) การส่งเสริมการเพาะเลี้ยงสัตว์ป่า การวางแผนและการสำรวจจัดตั้งเขตเพิ่มขึ้น มีส่วนศึกษาและวิจัยสัตว์ป่า(สถานีวิจัยสัตว์ป่า) ไม่มีการป้องกันและดับไฟป่า(ไม่มีงบประมาณป้องกันและดับไฟป่าโดยเฉพาะเพราะว่าไปขึ้นกับสำนักจัดการไฟป่า) มีรถแทรกเตอร์ล้อยางบ้างเป็นบางเขต บางแห่งชำรุดและใช้การไม่ได้ ไม่มีหน่วยงานภูมิสถาปัตยกรรมและวิศวกรรม ไม่มีการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติโดยตรง และในสำนักบริหารพื้นที่ป่าอนุรักษ์ที่ 1-16 มีส่วนนี้อยู่ด้วย
3.สำนักป้องกันและปราบปราม บริหารจัดการกิจกรรมการป้องกันรักษาป่าทั่วประเทศ โดยเฉพาะพื้นที่ที่ประกาศเป็นป่าอนุรักษ์ประเภท อุทยานแห่งชาติ ไม่รวมพื้นที่เตรียมประกาศ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าและเขตห้ามล่าสัตว์ป่า แบ่งเป็นส่วนป้องกันและปราบปรามที่ 1-4 มีส่วนป้องกันและปราบปราบประจำสำนักบริหารจัดการพื้นที่อนุรักษ์ที่.1-16 มี พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ร.บ.ป่าไม้ เป็นเครื่องมือ และในสำนักบริหารพื้นที่ป่าอนุรักษ์ที่ 1-16 มีส่วนนี้อยู่ด้วย
4.สำนักจัดการไฟป่า บริหารส่วนไฟป่าต่างๆในสำนัก และมีส่วนไฟป่าในสำนักจัดการพื้นที่บริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่..1-16....เรียกว่าสถานีดับไฟป่าทั่วประเทศ มีงบประมาณ คน อุปกรณ์การดับไฟป่า แต่ไม่ได้ขึ้นตรงต่อหัวหน้าอุทยานหรือเขตรักษาพันธ์ หรือหน่วยจัดการต้นน้ำ เมื่อไฟป่าไหม้ในป่าอนุรักษ์ทั้งสามประเภทจึงเป็นเรื่องที่พะอืดพะอมที่สุด ไม่มีกฎหมายเฉพาะเป็นเครื่องมือ ไม่มีส่วนศึกษาและวิจัยไฟป่า ไม่มีส่วนภูมิสถาปัตยกรรมและวิศวกรรม
5.สำนักอนุรักษ์และจัดการลุ่มน้ำ บริหารส่วนต่างๆในสำนัก ศูนย์จัดการต้นน้ำทั่วประเทศ
มีส่วนอนุรักษ์ต้นน้ำในสำนักบริหารพื้นที่ป่าอนุรักษ์ที่ 1-16...และมีหน่วยย่อยทำงานในสนามทั่วประเทศ แต่พื้นที่หน่วยงานภาคสนามสาวนใหญ่แฝงอยู่ในพื้นที่เขตอุทยานแห่งชาติและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า หรือพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าเตรียมการสงวน และป่าไม้ถาวรของชาติ มีส่วนศึกษาและวิจัยต้นน้ำ ไม่มีกฎหมายเฉพาะเป็นเครื่องมือ ไม่มีส่วนภูมิสถาปัตยกรรมและวิศวกรรม ไม่มีส่วนป้องกันและดับไฟป่า
ส้วนใหญ่ขึ้นไปชมแล้วกลับลงมาพักค้างตีนดอย
เกิดอะไรขึ้นกับทฤษฎีการบริหารจัดการปัจจุบันนี้
ทุกสำนักบริหารจัดการด้วยระบบกรอบทางวิชาการ(Function) ก็ไม่ใช่ บริหารจัดการด้วยระบบรูปแบบการบริหารก็ไม่เชิง แต่ที่คาดหวังกันนั้นมุ่งเน้นการกำหนดพื้นที่เป้าหมาย(Area approach) เป็นหลัก ใคร่ขอลำดับความสับสนให้เห็นชัดเจนขึ้นดังนี้
1. การกำหนดพื้นที่ป่าอนุรักษ์เป็นหลักควร กำหนดพื้นที่ที่ทางวิชาการเห็นว่า เป็นพื้นที่ที่มีความจำเป็นและอาจเกิดผลกระทบกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมโดยรวมต่อประเทศ จึงควรประกาศแบ่งพื้นที่โดยโซนซี(Conservation Zone) แทนที่จะกำหนดที่พื้นที่ที่ประกาศเขตอนุรักษ์ประเภทอุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เขตห้ามล่าสัตว์ป่า หรือพื้นที่เตรียมการประกาศ(อุทยานหรือเขตรักษา) หรือพื้นที่หน่วยงานของป่าต้นน้ำ ซึ่งปลีกย่อย
2. การบริหารจัดการ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช น่าจัดกำหนดกรอบให้แคบและครอบคลุม อาจต้องยุบเลิกสำนักหลายสำนัก เพราะว่าเป็นการทำงานซ้ำซ้อน กล่าวคือ ในพื้นที่อนุรักษ์ทั้งหมด(โซนซี) ประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติ เมื่อมีทรัพยากรท่องเที่ยวบริบูรณ์พอเพียง ประกาศเป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเมื่อเห็นว่ามีทรัพยากรท่องเที่ยวน้อย แต่มีพื้นที่ป่าเพื่อการอนุรักษ์และที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่า ทั้งหมด ยุบและยัดหน่วยงานต่างๆที่เลอะเทอะเข้าไปอยู่ในกรอบของอุทยานและเขตรักษาพันธุ์ เพิ่มเอกภาพและศักยภาพการบริหารจัดการป่าอนุรักษ์ได้อย่างเด็ดขาด
บอร์ดวอล์คข้ามน้ำพุร้อน
-หน่วยจัดการต้นน้ำ แท้ที่จริงเป็นกิจกรรมการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติในกรอบอุทยานแห่งชาติ หรือเขตรักษาพันธุ์ ซึ่งแท้ที่จริงมีพื้นที่ส่วนใหญ่อยู่ในเขตป่าโซนซีอยู่แทบทั้งสิ้น
- หน่วยป้องกันรักษาป่ายัดเข้าไปอยู่ในหน่วยพิทักษ์อุทยานหรือเขตรักษาพันธุ์ ได้อัตรากำลังเพิ่ม ทุกวันนี้หน่วยพิทักษ์ใช้ลูกจ้างประจำเป็นหัวหน้า(ไม่มีวุฒิป่าไม้หรือวนศาสตร์)
- สถานีจัดการไฟป่า ยัดเข้าไปในกรอบของอุทยานแห่งชาติหรือเขตรักษาพันธุ์ ไฟไหม้ป่าเมื่อไรหัวหน้าอุทยานหรือเขตรักษา สั่งการได้ทันที
- หน่วยภูมิสถาปัตยกรรมและวิศวกรรมยัดเข้ากรอบอุทยานหรือเขตรักษาเช่นกัน
ส่วนระดับสำนักอุทยานแห่งชาติและสำนักอนุรักษ์สัตว์ป่า ควรแบ่งส่วนออกเป็น 4 ส่วนก็พอ คือ ส่วนบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 1(ภาคกลาง) ส่วนบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่2 (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) ส่วนบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 (ภาคใต้) ส่วนบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 4 (ภาคเหนือ) ซึ่งเป็นระบบการจัดการแบบเบ็ดเสร็จในองค์รวม (One stop service)
ในแต่ละส่วนแบ่งกรอบหน้าที่ออกเป็น ฝ่ายวิชาการ(ศึกษาและวิจัย) ฝ่ายจัดการ(หน่วยพิทักษ์-ป้องกันและปราบปราม) ฝ่ายนันทนาการและสื่อความหมาย(ท่องเที่ยว ป.ช.ส.และบ้านพัก) ฝ่ายแผนงานและงบประมาณ ฝ่ายฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(หน่วยจัดการต้นน้ำ) ฝ่ายป้องกันและดับไฟป่า
3. ทฤษฎีที่ใช้กำหนดทิศทางการบริหารจัดการ กรณีมีคน(ชุมชน)อยู่ในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ต้องตัดสินใจว่าจะใช้ทฤษฎี “เชื่อคนได้” หรือทฤษฎี “เชื่อคนไม่ได้” เพราะว่าคนมีสมองโต ฉลาดแกมโกง มีความสามารถพิเศษเหนือธรรมชาติ และเห็นแก่ตัว ในการจัดการของอเมริกาใช้ทฤษฎีไม่เชื่อคน ทุกพื้นที่ที่กำหนดเป็นพื้นที่ป่าอนุรักษ์จึงอพยพคนออกหมด แต่ในประเทศไทยใช้ทฤษฎี “ปัดฝุ่นเข้าใต้พรม” กำหนดพื้นที่ป่าอนุรักษ์บนแผ่นกระดาษ วงทับไปหมดทั้งชุมชนและป่า
จึงเกิดความพยายามที่จะตราพระราชบัญญัติป่าชุมชนขึ้น เพื่อให้ชุมชนมีสิทธิโดยถูกต้องในการอยู่อาศัยในเขตป่าอนุรักษ์ บางมาตราให้ใช้ไม้ในป่าอนุรักษ์ได้ และไม่ต้องมีใบเบิกทางกรณีตัดไม้ออก อ้างการมีส่วนร่วม นี่ทั้งบ้าทั้งเมา
4. การมีส่วนร่วมของประชาชน (Stake Holder) รัฐธรรมนูญฉบับ 2540 กำหนดให้ชุมชนใกล้และในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ มีส่วนร่วมในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อุทยานแห่งชาติและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ต้องแบ่งรายได้ให้ 5% มีงบประมาณเพื่อการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอีกส่วนหนึ่ง
กรณีดังกล่าวเกิดความสับสน เพราะว่า ผลกระทบอันเกิดจากความเปลี่ยนแปลงหรือคงอยู่ของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ส่งผลถึงชุมชนนอกเขตป่าอนุรักษ์ทั่วไปด้วย เช่นเกิดอุทกภัย ภัยแล้ง ดังนั้นชุมชนทั่วไปในประเทศไทยหรือเฉพาะพื้นที่ลุ่มน้ำนั้นๆ แต่อยู่ใต้เขตป่าอนุรักษ์ ย่อมมีสิทธิเต็มร้อยที่จะมีส่วนร่วมเช่นกัน แต่ไม่ประสงค์จะเข้าไปอาศัยและใช้ประโยชน์พื้นที่ป่าอนุรักษ์โดยตรง โวยได้เลยเช่นคนต้นน้ำปิงกับคนใต้น้ำปิงเช่นลุ่มน้ำเจ้าพระยา
ผลกระทบจากความเปลี่ยนแปลงของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม บ้านเกิดข้าพเจ้าเคยมีฤดูน้ำ ที่เดือนพฤศจิกายนจะมีน้ำเต็มทุ่งและคลอง มีประเพณีการละเล่นเพลงเรือ แข่งเรือ ลอยกระทง แต่วันนี้ ไม่มีฤดูน้ำ น้ำไม่เคยท่วมทุ่งอีกเลย ไม่มีประเพณีเล่นเพลงเรือ ไม่มีแข่งเรือ การลอยกระทงแต่ลอยในคลองที่มีน้ำตื้นๆ ข้าพเจ้าย่อมมีสิทธิโวยคนต้นน้ำ
5.การคุ้มครองป่าอนุรักษ์ทุกวันนี้ สำนักป้องกันและปราบปราม ปฏิบัติหน้าที่เฉพาะในพื้นที่อุทยานแห่งชาติที่ประกาศแล้ว เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และเขตห้ามล่าสัตว์ป่า นอกจากนี้เป็นพื้นที่อุทยานเตรียมการ พื้นที่หน่วยจัดการต้นน้ำ วนอุทยาน กลายเป็นช่องว่างเพราะว่าพื้นที่ส่วนใหญ่แม้อยู่ในโซนซี แต่กรมไปแบ่งกับกรมป่าไม้ จึงเป็นพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าเตรียมการสงวน ป่าไม้ถาวรของชาติ กรมป่าไม้มีหน้าที่ป้องกันและปราบปราม เห็นชัดไหมครับว่ามันสับสนจริงๆ ใครจะทำงานถูก
ธรรมชาติบันดาลให้
บทสรุป
ถ้ากำหนดการบริหารจัดการพื้นที่ป่าอนุรักษ์โดยใช้พื้นที่เป้าหมายเป็นหลัก(Area Approach) ระบบการบริหารจัดการมีอำนาจการบริหารจัดการอย่างมีเอกภาพ มีอัตรากำลัง วัสดุอุปกรณ์ ยานพาหนะ กฎระเบียบ โดยเฉพาะ ผู้จัดการโครงการหรือหัวหน้าสำนักงาน หรือหัวหน้าหน่วยงาน จำเป็นต้องมือสะอาด โปร่งใส ใจบริสุทธิ์ คำนึงถึงผลประโยชน์ของแผ่นดินมากกว่าประโยชน์ส่วนตน ทีมงานยอมรับและร่วมใจปฏิบัติ มีความรู้ถ่องแท้ในเรื่องที่ดำเนินการ และประการสุดท้าย ประชาชนยอมรับได้
เท่าที่เขียนมานี้เป็นเพียงส่วนของโซนซีเท่านั้น แต่ในข้อเท็จจริงหากจะบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างถึงแก่นแล้วควรมองเป็นลุ่มน้ำ โดยแต่ละลุ่มน้ำมีข้อมูลพื้นฐานที่ถูกต้อง ซึ่งจะส่งผลถึงการวางยุทธศาสตร์การบริหารจัดการที่จะแม่นตรงและเกิดผลในเชิงบวก การกำหนดพื้นที่เป้าหมายเป็นลุ่มน้ำจึงควรทำเป็นโครงการพิเศษโครงการนำร่องดูสักลุ่มน้ำ กรอบเวลา 5 ปี ก็น่าจะเห็นผลกระทบได้อย่างมีนัยสำคัญ
บนเส้นทางก็ยังสวยงาม