Many19/16ธค43 การอุทยานแห่งชาติ
อุทยานแห่งชาติในประเทศไทย จัดตั้งขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์หลัก 3 ประการ คือ เพื่ออนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ไว้ เพื่อศึกษาและวิจัยในทางวิชาการ และเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจหรือการท่องเที่ยว การจัดการอุทยานแห่งชาติในประเทศไทยจึงมุ่งเน้นการป้องกันไม่ให้มีการลักลอบตัดไม้และเก็บหาของป่าหรือบุกรุกแผ้วถางป่าทำไร่เลื่อนลอยหรือยึดถือครอบครองพื้นที่เป็นของปัจเจกบุคคล
การศึกษาวิจัยในทางวิชาการ เปิดกว้างสำหรับเพื่อการศึกษา เพิ่มความรู้ด้านต่างๆจากฐานทรัพยากรที่มีอยู่ในอุทยาน ผลที่ได้จะกลายเป็นฐานข้อมูลด้านต่างๆ เช่น มีนกกี่ชนิดในอุทยานแห่งชาตินั้นๆ มีพันธุ์ไม้ป่ากี่ชนิดและปริมาณมากน้อยเพียงใด มีสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมกี่ชนิด ชนิดไหนบ้างที่หายากและมีคุณค่าแก่การศึกษาและท่องเที่ยว หรืออาจสูญพันธุ์ หรือป่าตรงนั้นมีความจำเป็นต้องรักษาไว้เพื่อน้ำ และสิ่งแวดล้อมของลุ่มน้ำ หรือมีน้ำไหลกี่ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที
แต่พอเป็นวัตถุประสงค์เพื่อการพักผ่อนหย่อนใจและการท่องเที่ยว การจัดการเป็นไปในรูปแบบราชการเต็มที่ ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ไม่สมบูรณ์เท่าที่ควร เชื่องช้าและพัฒนาได้ยากด้วยปัจจัยหลายๆประการด้วยกัน ลองทบทวนดูเล่นๆว่า มีปัญหาอย่างไรบ้าง
องค์กรที่จัดรูปบริหารอุทยานแห่งชาติ เป็นแบบแบ่งแยกตามสายวิชาการ เช่นฝ่ายจัดการอุทยาน ฝ่ายจัดการทรัพยากร ฝ่ายวางแผน ฝ่ายบริหารทั่วไป บุคลากรที่บรรจุในองค์กรมีไม่ครบถ้วนตามความจำเป็น คนน้อยกว่างาน แต่บางทีกลับคนล้นงาน บุคลากรด้านการบริการไม่มีจิตวิญญาณ การจัดการทำกันแบบราชการตรงไปตรงมา พลิกแพลงได้ไม่คล่องตัว ขั้นตอนการดำเนินการจึงเชื่องช้าและบางครั้งสับสน มีปัญหาตัวบทกฎหมายและระเบียบ ไม่คล่องตัว
ประชาชนที่อยู่โดยรอบหรือในอุทยานไม่เข้าใจและมักไม่ให้ความร่วมมือ เพราะว่ามองไม่เห็นถึงคุณประโยชน์ที่เขาควรได้รับ ผู้จัดการหรือหัวหน้า ยังมีแนวคิดเรื่องการบริการในเขตอุทยานแตกต่างกันมาก ขาดความชัดเจนในการปฏิบัติงาน ยังคงความเป็นข้าราชการมากกว่านักบริหาร โดยเฉพาะในแง่ของการจัดการบริการเพื่อการขายบริการการท่องเที่ยว บางทีหน้าหน้าจึงไม่ค่อยรับแขกเลย
เครื่องมือต่างๆที่ประกอบด้วย งบประมาณมาไม่ตรงตามเวลาที่เหมาะสม รถยนต์ไม่พอเพียงหรือมากพอแต่ใช้ประโยชน์ผิดทิศทาง เครื่องมือสื่อสารไม่ทันสมัยหรือชำรุดง่ายจากระบบการประมูล บ้านพักเพื่อการท่องเที่ยว ยังไม่มีรูปแบบเฉพาะ ไม่มีหัวงบเพื่อการสร้างบ้านพักนักท่องเที่ยวที่แท้จริง ไม่มีแม้กระทั่งบ้านพักที่ออกแบบเพื่อเป็นบ้านพักผ่อนอย่างแท้จริง ทุกวันนี้อิงแอบบ้านพักเจ้าหน้าที่มาใช้ประโยชน์ แบบขอไปที เครื่องนอนต่างๆจึงไม่ได้มาตรฐาน
บุคลากรที่ร่วมงานขาดวิญญาณของการบริการและไม่พยายามที่จะเรียนรู้ลักษณะงานการบริการ ห่วงโซ่การบริหารขัดข้องตลอดเวลา การติดตามประเมินผลงานไม่มีปรากฎในสาระบบ การกระตุ้นการทำงานและแรงจูงใจเบี่ยงเบน ทำดีไปก็แค่นั้น ต่างคนต่างทำไปก็แล้วกัน หัวไปทางหางไปทาง
การไม่จัดลำดับชั้นความสำคัญของอุทยานต่างๆ ทำให้การบริหารไม่ตรงประเด็นเช่น การจำแนกอุทยานที่มีศักยภาพเหมาะแก่การท่องเที่ยวระดับนานาชาติ ระดับชาติ และระดับท้องถิ่น หรือแม้แต่การใส่งบประมาณใดๆลงไปให้เหมาะสมเช่นน้ำตกสาริกา มีงบสร้างอาคารศูนย์บริการนักท่องเที่ยวและขายของที่ระลึก ก็เดี๋ยวนี้ใครเขาไปเที่ยวน้ำตกสาริกากันเล่า หมดไป 20 กว่าล้านบาท เจ๊งเห็นๆ ไปไหนมาสามวาสองศอกจริงๆ(งบ ททท.)
จากปัญหาและอุปสรรคทั้งหลายดังกล่าว การใช้ประโยชน์จากทรัพยากรทางธรรมชาติที่มีอยู่อย่างชาญฉลาดจึงไม่คุ้มค่า สมควรหรือยังที่ต้องมีการจัดตั้งองค์กรที่เรียกว่าเป็นโครงการพิเศษ ลดขั้นตอนการดำเนินการ ออกระเบียบใหม่ให้กระชับ รวดเร็ว คล่องตัว จัดลำดับอุทยานที่มีศักยภาพเหมาะสมที่จะขายให้เกิดการหมุนเวียนเงินตราได้ จัดหาบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถเฉพาะ และเชี่ยวชาญกลยุทธ์การตลาด(มืออาชีพ) หาเครื่องมือที่จำเป็นในการพัฒนางานเพื่อการขายบริการอุทยานแห่งชาติสู่สากล
ด้วยการตั้งองค์กรที่เรียกว่า การอุทยานแห่งชาติ เช่นเดียวกับกรณีเมืองพัทยา เลือกเอาเฉพาะอุทยานที่มีศักยภาพพอเพียง และดูดเงินจากชาวต่างชาติให้ได้เต็มที่ ทั้งอุทยานทางบกและทะเล แล้วปล่อยให้อุทยานที่ขาดศักยภาพการท่องเที่ยว เป็นอุทยานเพื่อการอนุรักษ์ป่า ก็เฝ้ารักษาป่ากันไปให้ดีๆ เรื่องอย่างนี้ เป็นการอนุรักษ์ที่ตรงความหมายคือ การใช้ประโยชน์อย่างชาญฉลาด มิใช่ปู่โสมเฝ้าทรัพย์ แต่ก็ไม่ใช่การขายธรรมชาติครับ