งามลือเลื่องหนองหาน ตระการตาปราสาทผึ้ง : สกลนคร
“สาวผู้ไท” เขียน // “ปวีณ์ ศรีพรหมทัต” ถ่ายภาพ
หนองหานอันกว้างใหญ่สะท้อนแสงแดดยามเช้า ดูพริบพราวในสายตา เมื่อฉันก้าวเท้าขึ้นไปบนศาลาริมน้ำ เขตบ้านท่าแร่ ด้านทิศตะวันตกของหนองหาน ทะเลสาบในแอ่งภูพาน จังหวัดสกลนคร
ซ้ายมือเป็นสวนสาธารณะริมฝั่ง เจ้าหน้าที่ในชุดสีกากีหลายคนกำลังสาละวนอยู่กับงานตกแต่งสถานที่ ติดป้ายขนาดใหญ่บอกถึงกำหนอดการปล่อยปลา ลงสู่หนองหาน นัยว่าเจ้าหน้าที่ระดับสูงของจังหวัดสกลนครจะมาทำพิธีปล่อยปลาในวันเทศกาลออกพรรษา ขวามือคืออาคารขนาดใหญ่สีขาวเจิดจ้าสะท้อนเงาในน้ำดูงามระยับ ตรงหน้าต่ำลงไปในท้องน้ำ เรือพายของชาวบ้านลำหนึ่ง กำลังล่องลอยอย่างสงบเสงี่ยม เดียวดาย อยู่ท่ามกลางกอผักตบชวาที่ลอยกระจายเกลื่อนเป็นเพื่อนเรือลำน้อย
เช้าวัน แรมหนึ่งค่ำ เดือนสิบเอ็ด เทศกาลออกพรรษา ๕ ตุลาคม ๒๕๕๒
สายมากแล้ว แต่สายหมอกยังคงปกคลุมหนองหานให้เย็นฉ่ำ สดชื่น ฉันสูดหายใจเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าเต็มปอดก่อนกลับออกมาจากศาลา ยิ้มให้สามล้อเครื่องมิตรใหม่ผู้พาท่องฝั่งหนองหาน เขาแนะนำสถานที่แห่งใหม่ที่น่าสนใจต่อทันที คือย่านเก่าแก่ของท่าแร่ ฉันก็พยักหน้าไปตามเพลง เพราะทุกสิ่งที่เป็นประสบการณ์ใหม่ล้วนน่าสนใจสำหรับคนเขียนหนังสือเสมอ
เขาเป็นคนรับจ้างขับรถสามล้อก็จริง แต่น้ำจิต น้ำใจ ความเป็นมิตร ความคิดอ่านเดาความต้องการของคนอื่นได้ไม่เลวเลย เมื่อครู่ที่ผ่านมาหากไม่ได้เขามาช่วยฉันคงหน้าแตกหมอไม่รับเย็บอยู่ตรงหน้าเขียงหมานั่นแล้ว ด้วยเหตุว่าฉันเดินดุ่ม ๆ จะไปถ่ายรูป เนื้อสด เนื้อแห้งที่กองตั้ง และแขวนระโยง รยางค์ ที่แผงเพิงในตลาด
“ถ่ายรูปบ่ได้เด้อ”
แม่ค้าตะโกนบอกเสียงดังจนฉันตกใจ เก็บกล้องที่เตรียมกดชัตเตอร์กลับลงในกระเป๋า หันกลับออกมาเจอพ่อสามล้อเข้าพอดี เลยได้มาเที่ยวริมฝั่งหนองหานอันสวยงามแทน
“ไปไหนกันดีล่ะลุง ก่อนถึงเวลาสิบโมงที่ฉันมีนัดน่ะ”
“ไปที่วัดคริสต์ท่าแร่”
ลุงว่าแล้วติดเครื่องพารถออก มุ่งหน้าไปย่านที่มีตึกเก่ายุคฝรั่งเศส และชาวญวนที่เข้ารีตมาตั้งชุมชนแรก ๆ ของท่าแร่ ฉันถึงกับอ้าปากค้างยกกล้องกดชัตเตอร์นับไม่ถ้วน
คนส่วนใหญ่มักรู้จักบ้านท่าแร่ว่ามีตลาดซื้อขายสุนัขเท่านั้น แต่แท้จริงแล้ว ชุมชนริมฝั่งหนองหานแห่งนี้ ยังมีอะไร ๆ ที่น่าสนใจกว่าตั้งแยะ เช่นเดียวกับเมืองสกลนคร ริมฝั่งหนองหานอีกด้านหนึ่ง
สกลนคร เป็นเมืองที่มีตำนาน และประวัติศาสตร์ยาวนาน ตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ยุคขอมเรืองอำนาจ จนยุคลาวล้านช้าง มาถึงปัจจุบัน โดยมีหลักฐานเป็นศิลปะถ้ำ สะพานขอมที่สร้างด้วยหินทอดยาวเชื่อมถนนโบราณริมฝั่งหนองหาน ปราสาทหินอีกหลายแห่ง เช่น ปราสาทนารายณ์เจงเวง ปราสาทภูเพ็ก ปราสาทบ้านดุม และ พระธาตุเชิงชุมซึ่งร่วมสมัยกับพระธาตุพนมอันเลื่องชื่อของอีสาน ดังคำขวัญของจังหวัดที่ว่า
พระธาตุเชิงชุมคู่บ้าน พระตำหนักภูพานคู่เมือง
งามลือเลื่องหนองหาน ตระการตาปราสาทผึ้ง
สวยสุดซึ้งสาวภูไท ถิ่นมั่นในพุทธธรรม
ฉันโบกมือลาสามล้อเครื่องผู้อารี เมื่อน้องสาวมารับตามนัด ไปไหว้นมัสการหลวงปู่มั่นที่พิพิธภัณฑ์ของท่านที่วัดป่าสุทธาวาส ข้างบ้านของเธอนั่นเอง
จังหวัดสกลนคร เป็นจังหวัดสวยงาม สงบเงียบ ตั้งอยู่ในที่ราบลุ่มริมฝั่งหนองหาน ขนาบข้างด้วยเทือกเขาภูพานที่สูงตระหง่าน เขียวครึ้มอยู่ทางด้านทิศใต้ ส่วนด้านทิศเหนือคือหนองหานอันกว้างใหญ่ จนเรียกได้ว่าเป็นทะเลสาบ มีเกาะ(ภาษาถิ่นเรียกดอน)อยู่หลายเกาะ เป็นที่เกิดแห่งตำนานเกี่ยวกับความเชื่อเรื่องพญานาคเมืองบาดาลใต้หนองหาน นั่นคือเรื่อง ผาแดง-นางไอ่ เรื่องย่อ ๆ มีว่า
ครั้งนั้นพญาขอมผู้ครองเมืองมีธิดาสาวสวยชื่อนางไอ่คำ นางเติบโตเป็นสาวสวยเลื่องลือไปทั่วทุกเขตแดน จนแม้แต่พังคีลูกพญานาคในเมืองบาดาลยังแปลงกายเป็นกระฮอกด่อน(กระรอกเผือก)มาแอบชื่นชมความงามของนาง ครั้นนางไอ่คำเห็นเข้าก็นึกอยากกินเนื้อกระรอกขึ้นมาทันที จึงให้พรานแม่นธนูยิงกระรอกเอาลงมาฆ่าแล่เนื้อ
ช่างน่ามหัศจรรย์เนื้อนั้นมีเพิ่มมากขึ้นจนแบ่งปันกันได้ทั่วทั้งเมือง แต่ผู้แบ่งปันก็ยกเว้นไม่ให้ครอบครัวบ้านเรือนของเหล่าแม่ม่ายแม่ร้าง ดังนั้นพอพญานาคผู้เป็นพ่อรู้ข่าวมาทำการล้างแค้นให้ลูกชายถล่มเมืองล่มลงกลายเป็นทะเลสาบ จึงยังเหลือบริเวณที่เป็นบ้านแม่ม่าย แม่ร้างอยู่เป็นเกาะเล็กใหญ่กลางหนองหานมาจนปัจจุบัน
ที่ราบลุ่มอันอุดมสมบูรณ์ริมฝั่งหนองหาน เชิงเขาภูพานนี้เองเป็นที่ตั้งแห่งเมืองสกลนครในปัจจุบัน
วัดป่าสุทธาวาส ที่ฉันมุ่งหน้ามาวันนี้ตั้งอยู่บนถนนสุขเกษม (สกล-กาฬสินธุ์) ตรงกันข้ามกับศูนย์ราชการของจังหวัด เป็นที่ตั้งพิพิธภัณฑ์พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต หรือหลวงปู่มั่นของลูกหลานชาวอุบล
เพียงก้าวเข้าสู่ประตูหน้าวัดจะเห็นโบสถ์สูงตระหง่าน สวยงามทันที ต้นไม้ใหญ่ร่องรอยความเป็นป่ามาก่อนยังคงมีอยู่ด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือของวัด ยังคงร่มรื่น เครือเถาวัลย์ขนาดใหญ่แขวนโยงเหมือนชิงช้าก็ยังคงอยู่
ต้นกระบกใหญ่ริมรั้วตอนนี้ทิ้งลูกแห้งลงดิน เมื่อฝนฉ่ำดินชุ่มฝาสองฝาก็เผยอเปิดออกปล่อยให้เมล็ดข้างในงอกรากหยั่งลงดิน เกิดต้นกล้ากระบกต้นเล็ก ๆ ปะปนกับต้นหญ้า อีกไม่นานก็คงถูกตัด หั่น ทิ้งไปเหมือนหญ้าวัชพืชอื่น ๆ ดูน่าใจหาย
พิพิธภัณฑ์หลวงปู่มั่น เป็นอาคารสถาปัตยกรรมประยุกต์ ทรงแปลกตา ตั้งอยู่ ท่ามกลางแมกไม้ ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของโบสถ์ ภายในเป็นห้องโถง เพดานสูงโล่ง สะอาด สงบ เหมาะจะมานั่งแสวงหาความสงบ
รูปหล่อเหมือนองค์จริงของท่าน ในท่านั่งสมาธิ ตั้งอยู่บนแท่นสูง ตรงหน้ามีตู้กระจกบรรจุอัฐิที่กลายเป็นแก้วผลึก ตามผนังเป็นตู้จัดแสดงเครื่องอัฏฐบริขาร ต่าง ๆ ภาพถ่ายขาวดำ และประวัติย่อ ๆ ของท่านบรรจุไว้ตลอดผนังสองด้านทิศเหนือ และใต้
ข้าง ๆ อาคารตอนนี้มีศาลาหลังเล็กดูสวยงาม สมถะ ที่ลูกศิษย์ ลูกหา และผู้ศรัทธาสร้างไว้ถวายหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ในยามที่ท่านมาเยือนวัดเพื่อกราบไว้หลวงปู่จะได้พำนัก
หากใครมากราบไหว้หลวงปู่มั่น ที่วัดป่าสุทธาวาส ยังมีโอกาสได้กราบไหว้อัฐิเกจิอาจารย์ของอีสานอีกท่านหนึ่งนั่นคือ เจดีย์ธาตุของหลวงปู่หลุย จันทสาโร ที่มุมด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ของวัดนี้อีกด้วย
นอกจากนั้น ช่วงนี้เป็นเทศกาลออกพรรษา สกลนคร การแห่ปราสาทผึ้งเพิ่งเสร็จสิ้นลงเมื่อวาน และวันนี้ปราสาทผึ้งอันสวยงามตระการตาจึงถูกเคลื่อนย้ายเข้ามาไว้ใต้เงาแมกไม้อันร่มรื่นด้านทิศเหนือของวัด
ประเพณีแห่ปราสาทผึ้ง เป็นประเพณียิ่งใหญ่ของจังหวัดสกลนคร ที่มีปราสาทผึ้งอวดโฉมความงาม ฝีมือ ความคิด จินตนาการของช่างให้ตระการตา น่าชม ทั้งยังจัดขบวนแห่อย่างสวยงามหลายขบวน แห่รอบเมืองในวันออกพรรษาของทุกปี กลายเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของจังหวัดสกลนคร
ปราสาทผึ้ง หรือ ปราสาทเผิ้งในภาษาอีสาน หมายถึงการนำขี้ผึ้งมาทำเป็นลวดลายคล้ายปราสาท หรือเจดีย์ในงานบุญ แต่เดิม มี ๒ กรณี คือ
๑ ทำปราสาทผึ้งในบุญแจกข้าว (ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ตาย)
ญาติของผู้ตายนำไม้ไผ่มาทำโครงรูปบ้านเรือน หรือปราสาท ตกแต่งลวดลายด้วยหยวก หรือกาบกล้วย ประดับประดาด้วยดอกไม้ที่ทำจากขี้ผึ้ง (ดอกผึ้ง) สีขาว เหลืองอ่อน เหลืองส้ม สวยงาม ภายในเรือนหรือปราสาทนี้บรรจุสิ่งของ เครื่องใช้ เงิน ทอง แล้วแต่ฐานะ ที่จะส่งไปให้ผู้ตายใช้ในภพหน้า นำไปทำพิธี แล้วถวายวัด
การทำดอกผึ้ง
นำขี้ผึ้งใส่ภาชนะแล้วลอยที่น้ำเดือด หรืออังไฟจนร้อนละลาย ใช้แม่พิมพ์ที่จะทำให้เป็น
ดอกไม้(ส่วนมากใช้มะกอลูกเล็ก และกลวงข้างใน ตัดเอาด้านขวาง)จุ่มลงในผึ้งละลาย แล้วนำไปจุ่มในน้ำเย็น แว่นบาง ๆ รูปดอกไม้ก็จะหลุดออกมา นั่นคือดอกผึ้งทำ
๒ ปราสาทผึ้งในบุญออกพรรษา เป็นการร่วมใจ ของกลุ่ม หรือคุ้มบ้าน ทำปราสาท
ด้วยผึ้งในวันขึ้นสิบห้าค่ำเดือนสิบเอ็ด มีวัตถุประสงค์ในการทำ สักการบูชาพระพุทธเจ้า ที่เสด็จไปเทศนาโปรดพุทธมารดา ที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ แล้วเสด็จกลับลงมายังมนุษย์โลกในวันออกพรรษา
บุญปราสาทผึ้งนี้จึงมีเพียงปีละครั้งเดียว การสร้างปราสาทจึงวิจิตร สวยงาม ด้วยความตั้งใจ และศรัทธาในพุทธศาสนา
รูปร่าง ลวดลายของปราสาทผึ้งขึ้นอยู่กับคติความเชื่อของแต่ละชุ้ม เช่นรูปนาค รูปเล่าเรื่องราวในพุทธประวัติ เป็นต้น