ย่ำทรายในสายหมอกชมดอกไม้
ใน
TASMANIA
“เอื้อยนาง”
1. จดหมายจากปลายฟ้า
St.Helens
ใยเข็ม ที่รัก
ครั้นแล้วข้อยก็ได้เวลาร่อนจดหมายมาหาเจ้าด้วยความรักและคิดถึงเจ้าหลายนะใยเข็ม จะเรียกว่าเป็นจดหมายจากปลายฟ้าก็ได้ เพราะที่ที่ข้อยมานั่งเขียนพร่ำพรรณนาถึงเจ้าอยู่นี้นะ มันตั้งอยู่คล้อยๆ ลงขั้วโลกใต้นะซี ก็ราวๆ เส้นรุ้ง ที่ 42 องศาใต้ และเส้นแวง ที่ 145 องศาตะวันออก อันเป็นตำแหน่งที่ตั้งเมือง St. Helens ในรัฐ Tasmania ประเทศ Australia จ้ะ
เพราะที่นี่ มีอะไรหลายอย่างเป็นแรงบันดาลใจให้อยากเล่าสู่เจ้าฟังเหลือเกิน จึงตั้งใจว่าจะร่อนจดหมายมาเป็นระยะๆ เล่าอะไรๆ ที่ได้พบได้เห็นและคิดว่าน่าสนใจมาให้ฟัง (อ่าน) คงดีไม่น้อย ทั้งเจ้าก็จะได้นำไปเล่าให้เด็กน้อยที่ข้อยทิ้งเขามาให้ได้ฟังอีกทีนะจ้ะ
สุภาษิตอีสานที่ว่า “คิดฮอดอ้ายให้เหลียวเบิ่งเดือนดาว สายตาเฮาสิจอดกันอยู่เทิงฟ้า” นั้นใช้กับข้อยไม่ได้แล้วนะตอนนี้ เพราะดวงดาวที่มองเห็นเกลื่อนฟ้าบางคืนที่ฟ้าใสนั้น ไม่เหมือนกันเลยกับที่บ้านเรา ไม่ว่าจะพยายามเพ่งมองเหลียวเบิ่งอยู่ดึกดื่นค่อนคืนแค่ไหน ก็ไม่มีทางที่สายตาเราจะพบกับบนฟ้าแน่ๆ ข้อยพยายามมองหาดาวช้าง ดาวหมูชัง ดาวดั้ง ดาวเพ็ก หรือแม้แต่ดาวไก่น้อยอันเรียงกันเป็นกระจุกนั้นมันก็ไม่เห็นมีเลย ดังนั้นบทสุภาษิตนี้ใช้ไม่ได้จริง ๆ
นอกจากดาวบนฟ้าที่ต่างกันแล้ว อะไร ๆ หลายๆ อย่างในชีวิตประจำวันก็เหมือนจะพลิกผันเป็นพัลวันไปหมด ข้อยจึงเหมือนคนในบทเพลงลูกทุ่งบทที่ว่า “จากแดนอีสานบ้านเกิดเมืองนอน มาเล่นละครบทชีวิตใหม่” นั้นมากกว่า
แรกทีเดียวก็ตั้งใจว่าจะมาเที่ยวเฉย ๆ จึงยืมเงินออมทรัพย์ครู (แฮ่…ยังใช้ไม่หมดเลย) มาเที่ยวแล้วจะกลับไปเขียนสารคดีท่องเที่ยว เหมือนที่เคยทำตอนไปเวียงจันทน์ หลวงพระบางกระนั้น แต่มันไม่ง่ายอย่างนั้นนะซี ไม่ง่ายเหมือนไทยกับลาว ความแตกต่างทั้งภาษาพูด วัฒนธรรม ประเพณี ตลอดภูมิอากาศ อะไรอื่นอีกเยอะแยะที่มันยากจะเข้าใจ มันจึงท้าทายข้อยนักหนาแล้วใยเข็มเอ๋ย ท้าทายให้อยากรู้ อยากเห็นให้ลึก ๆ กว่าแค่นี้ เลยเกิดความตั้งใจแน่วแน่ จะต้องหาทางมาอีกทีให้ได้
อีกอย่างนะใยเข็มผู้อุปถัมภ์รายการให้ข้อยได้มาพักอยู่สบาย ๆ ที่นี่น่ะเป็นหนึ่งในสมาชิกสโมสรโรตารีเซ็นเฮเลนส์ ข้อยจึงหนีไม่พ้นไปปฏิบัติกิจร่วมกับสโมสรนี้ ที่มีอะไรน่าทึ่งและให้แปลกใจอยู่ทุกวันว่ามันช่างต่างกับชาวสโมสรนี้ที่บ้านเรานักหนา ข้อยจึงอยากให้เจ้าฟังไว้จะได้เอาไปสอนเด็กๆด้วยแหละ
เพื่องานเพื่อประสบการณ์เพื่อความฝัน
จึงไม่หวั่นไม่พรั่นไม่อ่อนไหว
พร้อมจะลุยข้างหน้าฝ่าฟันไป
ไกลแสนไกลในโลกกว้างหว่างดงดอน
เบื้องซ้ายมีทะเลเห่กล่อม
ขวาฟาร์มใหญ่ไต่ภูสล้างสลอน
บนฟ้ามีเมฆพราวไม่ร้าวรอน
เหมือนนกจรจากรังมันไม่หวั่นไพร
บทกลอนนี้เขียนบนเส้นทาง จากเมืองเซนต์เฮเลนส์ ไป โฮบาร์ต(Hobart) ซึ่งเป็นเมืองหลวงของรัฐทัสมาเนีย ถนนทอดยาวไปตามชายฝั่งตะวันออก มุ่งลงใต้ไปเรื่อย ๆ จึงมองเห็นทะเลสีครามอยู่ทางซ้ายมือ ส่วนทางขวาเป็นภูเขาสูงสลับซับซ้อนสลับทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ มองไกล ๆ เห็นฝูงแกะสีขาว ๆ มอ ๆ และเล็มหญ้าอยู่ลิบ ๆ
ทัศนียภาพของทัสมาเนีย ดูสวยสงบตรึงตา แผ่นดินกว้างใหญ่แต่มีคนอยู่อาศัยเพียงน้อยนิด ธรรมชาติจึงบริสุทธิ์ สะอ้าน บวกการจัดการที่มีประสิทธิภาพ และกฎหมายที่ศักดิ์สิทธิ์ ดินแดนแห่งนี้ จึงเป็นสถานที่สำหรับพักผ่อนในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ ของชาวออสซี่ทั้งหลาย และชาวต่างชาติอื่น ๆ ทั่วโลกด้วย เฉพาะตัวข้อยที่เห็นนั้น มันช่างแปลกตา กระทบใจตั้งแต่ครั้งแรกที่บินอยู่บนฟ้าเหนือเมืองโฮบาร์ต มองผ่านปุยเมฆลงมาเห็นฟ้าหลากสีจนอดไม่ได้ต้องหยิบปากกาขึ้นมาเขียนในตอนนั้นเลยว่า
ด้นดั้นถิ่นฟ้าลิบลิ่ว
เมฆพริ้วพร่างพรายหลายหลากสี
เป็นถั่นแถวแวววับจับระวี
ราวกับมีมนต์สวรรค์เสกสรรไว้
โค้งรุ้งริ้วรายที่ปลายฟ้า
ละไอละอองทองทาวะวิบไหว
ปุยม่วงขลิบแดงจูงขาวคราวครรไล
ชมพูไล่จับครามงามนักแล
ทัสมา-เนียนั้นเป็นเกาะหนึ่งต่างหาก ที่อยู่ใต้ออสเตรเลียลงไป การเดินทางจึงออกจะหลายช่วงตอนนิดหน่อย คือมาถึงออสเตรเลียที่ซิดนีย์(Sydney) หรือเมลเบิร์น(Melbourne)แล้ว ต้องต่อเครื่องบินอีกทีไปลงที่เมืองหลวงโฮบาร์ต หรือลันเชสตัน(Lanuceston) อันเป็นเมืองสำคัญทางเหนือของรัฐก่อน ถ้าลงโฮบาร์ตใช้เวลาเดินทางสู่เซนต์เฮเลนส์ 265 กิโลเมตร ส่วนเมืองลันเชสตันนั้นห่างจากเซ็นต์เฮเลนส์ 165 กม. คนที่นี่ขับรถใช้ความเร็วตามป้ายจราจรเป๊ะเลย เจ้าไม่ต้องเกรงใจว่าข้อยจะลำบาก เพราะหนทางในทัสมาเนียขับรถสบายกว่าบ้านเราเยอะ นอกจากมรรยาทและวินัยในการขับขี่แล้ว คนยังมีน้อยรถก็เลยน้อยไปด้วย ถนนหนทางจึงว่างโล่งจนออกจะเงียบเหงาไปด้วยซ้ำ ยิ่งระยะทางระหว่างเมืองนั้น ถนนจะยิ่งดูว่างเปล่า นาน ๆ ทีจึงจะเห็นมีรถสวนมาให้ดีใจ จะมีให้เห็นก็แต่ฝูงวัว ฝูงแกะที่และเล็มหญ้าในทุ่งโล่งริมถนน ที่ต้องระวังก็คือสัตว์จำพวกกระต่ายป่า ตัวพอสซั่ม วอลล่าบี ที่มักวิ่งตัดถนนให้รถชนตายเป็นอาหารของนกกา ทั้งๆที่มีป้ายบอกให้รู้ว่าเขตนี้มีสัตว์ป่าจำพวกนี้เยอะให้ระวังตั้งไว้เป็นระยะ แต่บางครั้งก็มองไม่เห็นมันจนปัญหาที่จะหลบ ตัวมันเล็ก วิ่งไว และมีมากมายโดยเฉพาะบริเวณช่วงถนนตัดผ่านป่า จะเห็นซากของมันถูกชนจนไส้พุงแตกนอนตายอยู่เกลื่อนไป สบายกาผู้ชอบสาวไส้เลยแหละ
เซนต์เฮเลนส์ตั้งอยู่ชายฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของทัศมาเนียด้านมาหาสมุทรแปซิฟิค โฮบาร์ตนั้นอยู่ตอนใต้ลงไป ส่วนลันเชสตันตั้งอยู่ทางเหนือลึกเข้าไปในส่วนกลางของรัฐ ดังนั้นไม่ว่าเจ้าจะลงเครื่องบินเมืองใดในสองเมืองนี้ ก็มีโอกาสชมทัศนียภาพของทัสมาเนีย ก่อนถึงเซนต์เฮเลนส์แน่ ๆ
บริเวณที่ตั้งตัวเมืองเซนต์เฮเลนส์เป็นหุบเขาริมอ่าวลึกชื่อ Georges Bay ถือเป็นเมืองศูนย์กลางของแถบนี้ ขึ้นกับเขตการปกครองท้องถิ่นของ Port Land ซึ่งมีคนอาศัยประมาณ 2,000 คน และข้อยเป็นคนไทยคนเดียวและคนแรกของเมืองนี้ แต่ก็ดูไม่แปลกแยกเท่าไหร่นะ เวลาเดินในตลาดหรือท่ามกลางฝูงชน (ถ้าไม่เอื้อนเอ่ยเจรจาภาษาอังกฤษสำเนียงไทยอีสานออกมา) ด้วยว่าชาวออสซี่นั้นแม้ส่วนใหญ่จะเป็นคนอังกฤษ แต่ในยุคตื่นทอง (ช่วงหนึ่งในประวัติศาสตร์ของออสเตรเลียมีการขุดพบทองคำมากมาย) มีผู้คนทั้งจากยุโรปและเอเชียหลายเชื้อชาติเข้ามาแสวงโชค และเลยลงหลักปักฐานอยู่อาศัยกลายเป็นคนออสเตรเลีย และในปัจจุบันมีชาวเอเชียเข้ามาอยู่อาศัยโดยเฉพาะในเมืองใหญ่ ๆ กระจายทั่วประเทศกว่า 60,000 คนก็เลยดูยิ่งมากหน้าหลายตาผสมผสานทั้งศิลปะ วัฒนธรรม และสายเลือด รูปร่างหน้าตาจึงมีคละเคล้าปะปนทั้ง ฝรั่ง จีน แขก และชาวอะบอ-ริจิ้น (ชนพื้นเมืองเดิมของออสเตรเลีย) คล้ายอีสานบ้านเราทั้งมี ไทย ลาว จีน ญวน พวน แขก เขมร ส่วย ต่างๆนั้นแหละข้อยว่า
จะว่าไปแล้วประวัติศาสตร์ของออสเตรเลียและทัสมาเนีย ถ้านับจากก้าวย่างของคนขาวที่เข้ามาบุกเบิกจับจองเป็นเจ้าของถิ่นนี้ก็คงอยู่ในยุคเดียวกับกลุ่มวัฒนธรรมลาว หลั่งไหลข้ามแม่น้ำโขงสู่อีสานคือประมาณ 200 ปีกว่ามานี่เอง ย้อนหลังไปกว่านั้นทัสมาเนียมีแต่ชาวป่าที่ล่าสัตว์กินเป็นอาหารและป่าดง ในขณะอีสานมีมรดกทางวัฒนธรรมหลายยุคหลายสมัย ไม่ว่าบ้านเชียง เนินนกษาหรือว่าประสาทขอมอันอลังการ 200 กว่าปีผ่านมามีทั้งความเหมือนและแตกต่าง ทัสมาเนียปัจจุบันมีมรดกที่พากเขาภาคภูมิใจขายให้นักท่องเที่ยว ทั้งจากธรรมชาติที่หลายหลายแบบอย่าง ป่าเขา สำเนาไพร ถ้ำหิน น้ำตกนกกาและนานาสัตว์ป่า รวมสิ่งปลูกสร้างยุคบุกเบิก บ้านเรือน ตึกราม ถนนสะพานหลายแห่งเป็นฝีมือของนักโทษจากอังกฤษ ล้วนน่าสนใจ เอาไว้ฉบับหน้าจะค่อย ๆ เล่านะจ๊ะ
รักเจ้าหลาย
จาก ข้อยเอง “เอื้อยนาง”