ท่องอุบลแบบคนอุบล๔.
เที่ยวทุ่งศรีเมือง : รำลึกเรื่องเจ้านางเจียงคำ(ต่อ)
“เอื้อยนาง”
เจ้านางของเราอายุเพียง ๑๔ ย่างเข้า ๑๕ หยก ๆ ในปีนั้น คุณพ่อบำเพ็ญ ณ อุบลเคยเล่าไว้ว่า เจ้านายอุบลราชธานีตอนนั้นหลายท่านต่างส่งลูกสาวไปไว้จำปาศักดิ์(ญาติกันอยู่ทางนั้นก็มากมาย เทียวไปเทียวมาอยู่แล้ว) เพราะเสด็จในกรมไม่ได้มาเสด็จมาอุบลเพียงพระองค์เดียว แต่ยังมีขบวนหนุ่มไทย ตำรวจ ทหาร ข้าราชบริพารอีกมากมายเป็นกรมกองมาด้วย ผู้เฒ่าผู้แก่กลุ่มอุบลเก่าบางท่านไม่อยากเกี่ยวดองกับหนุ่มไทยซึ่งอาจมีเรื่องคล้าย ๆ สาวเครือฟ้าเกิดขึ้นในช่วงก่อนที่เคยมีเจ้านายไทยสยาม(อัญญาไทย)มากำกับราชการทั้งในยุคกรมหลวงพิชิตปรีชากร และคนอื่น ๆ ก่อนหน้านั้นอีกหลายคน เพราะหลังจากหมดยุคเจ้าพรหมเทวานุเคราะห์เจ้าเมืองคนสุดท้ายในจารีตแบบล้านช้างแล้ว ทางกรุงเทพฯก็ไม่ได้แต่งตั้งเชื้อสายเก่าอุบลฯเป็นเจ้าเมืองอีก แต่ได้ส่งข้าราชการจากทางกรุงเทพฯมากำกับราชการ(หัวเมือง)แทน
เสด็จในกรมนั้นทรงเป็นทั้งทหาร นักปกครอง นักการทูต ได้เคยปราบปรามโจรผู้ร้ายที่ชุกชุมแถบโคราชถึงปราจีนจนราบคาบมาแล้ว และเคยประทับกำกับราชการอยู่ที่นครราชสีมาก่อน เพิ่งได้รับการโปรดเกล้าฯให้ไปเป็นผู้สำเร็จราชการที่หลวงพระบาง แต่ยังไม่ทันได้เสด็จไปก็มีการเปลี่ยนแปลงให้มาอยู่อุบลราชธานีแทน ทรงเป็นข้าหลวงใหญ่สำเร็จราชการมณฑลลาวกาวซึ่งมีเมืองสำคัญคืออุบลราชธานีและจำปาศักดิ์ ทรงประทับที่ “วังสงัด” ที่ตั้งอยู่บนเนินสูงเหนือทุ่งศรีเมืองขึ้นไป
ต้องเข้าใจนะคะว่าสภาพภูมิประเทศที่ตั้งอุบลราชธานี และวารินชำราบนั้นเป็นที่ลุ่มต่ำริมฝั่งแม่น้ำเต็มไปด้วยหนองน้ำ เนินดิน สูง ๆ ต่ำ ๆ ตรงที่เป็นที่ลาดจากเนินดินเราเรียกว่าค้อย(คล้อย) วังสงัดนั้นตั้งอยู่ใกล้ค้อย กกมะแงว(เนินต้นมะไฟป่า)
สมัยนั้นเคหสถานบ้านที่พักของเจ้านายอุบลราชธานีเรียกว่า “โฮง” ซึ่งเป็นคำลาวหมายถึง “วัง” “ท้องพระโรง” ในอุบลช่วงนั้นมี โฮงหลวง โฮงกลาง โฮงแพ เจ้านางเจียงคำนั้นอาศัยอยู่ใน “โฮงทุ่ง” ใกล้ที่ตั้งพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอุบลราชธานีในปัจจุบัน(ศาลากลางจังหวัดหลังแรก)
วังสงัด จึงเป็นชื่อใหม่ที่มีขึ้น วังนี้ตั้งอยู่ในสวนไม้ร่มรื่นทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของทุ่งศรีเมือง(คุณพ่อบำเพ็ญเล่าจากความทรงจำของ คุณแม่ คุณยายของท่านว่า มีต้นมะพร้าว หมากพลูในสวนมากมายร่มรื่น)
อย่างที่บอก ว่าเสด็จในกรมเป็นทั้งทหาร นักปกครอง นักการทูต เป็นหนุ่มใหญ่เคยมีหม่อมและโอรส ธิดามาแล้วในกรุงเทพฯ แต่ครั้นได้มาพบเจอเจ้านางเจียงคำสาวน้อยหลานสาวเจ้าเมืองเก่าก็ทรงต้องพระเนตรทันที การเจรจาสู่ขอจึงมีขึ้น และทางผู้ใหญ่ฝ่ายอุบลก็ไม่ขัดข้อง พีธีสู่ขวัญแบบพื้นเมืองตามประเพณีฮีตคองของอุบลยุคนั้นจึงถูกจัดขึ้นในเดือนมีนาคมของปีต่อมานั่นเอง(ทรงมาถึงเมื่อ พฤศจิกายน ๒๕๓๖ ยุคนั้นการนับปีพ.ศ.หลังเดือนธันวาคม-เมษายนยังเป็นปีเก่าอยู่ การระบุพ.ศ.นี้จึงมีเอกสารบางฉบับนับเป็น ๒๔๓๗)
แต่ถึงอย่างไรเจ้านางของเราก็อายุยังไม่ครบ ๑๕ เต็ม คุณพ่อบำเพ็ญว่า “เป็นธรรมดาของผู้หญิงยุคนั้น” ซึ่งการเข้าพิธีครั้งนี้ก็เป็นผลดีแก่ตัวเองและอุบลราชธานีทั้งมวล ความสัมพันธ์กับกรุงเทพกระชับแน่นขึ้น ด้วยความเสียสละของเจ้านาง
ในปีนั้นเองที่นักปกครองสายพระเนตรแหลมคมอย่างเสด็จในกรมก็ได้ทรงเจรจาปรึกษาหารือกับกรมการเมือง และผู้ใหญ่ฝ่ายอุบลทั้งปวง เพื่อขอที่ดินแปลงต่าง ๆ อันเป็นมรดกของเจ้านางเจ้าเจียงคำผู้เป็นหม่อมห้ามของพระองค์ใหม่ ๆ ขอให้เป็นที่ราชพัสดุใช้ประโยชน์ในทางราชการสืบมา คือ
บริเวณสถานที่ตั้งพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอุบลราชธานี (เป็นอาคารศาลากลางจังหวัดหลังแรก) ทางทิศใต้ของทุ่งศรีเมือง บริเวณสถานที่ตั้งสำนักงานเทศบาลนครอุบลราชธานี ทางทิศตะวันออกของทุ่งศรีเมืองและพิพิธภัณฑ์ฯดังกล่าว บริเวณทุ่งศรีเมืองรวมถึงโรงเรียนอนุบาลอุบลราชธานี(เดิมเคยเป็นโรงเรียนนารีนุกูลซึ่งปัจจุบันย้ายออกไปตั้งที่ใหม่)
บริเวณที่ตั้งศาลจังหวัด ด้านทิศเหนือของทุ่งศรีเมือง บริเวณที่ตั้งอำเภอเมืองอุบลราชธานี รวมศาลากลางจังหวัดที่ ๒ (ที่ถูกเผาเพราะเหตุขัดแย้งทางการเมืองในปี ๒๕๕๓) และสำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดที่รวมอยู่ในบริเวณเดียวกัน
ดังนั้นหากเรายืนอยู่ตรงกลางของทุ่งศรีเมือง ไม่ว่าจะหันหน้าไปทางไหนก็จะพบสถานที่ที่เคยเป็นมรดกตกทอดของเจ้านางเจียงคำ หรือ หม่อมเจียงคำ ชุมพล ณ อยุธยา
ทุ่งศรีเมืองวันนี้ในยามปกติเป็นสวนสุขภาพ เป็นให้ปอดอุบลราชธานี ให้ทั้งความร่มรื่น สวยงามเหมาะจะมาพักผ่อนในท่ามกลางบรรยากาศแห่งยุคสมัยที่ปัญหาใหญ่ของมนุษย์ในเมืองประสบคือ ปัญหาจราจร แต่หากหลบเข้าไปซุก ณ มุมหนึ่งมุมใดของทุ่งศรีเมืองก็เสมือนหนึ่งว่าได้หลบออกจากปัญหานั้นได้ตลอดกาล
มุมโน้น ใต้ร่มเงาไม้มีใครบางคนนั่งบนม้าหินทอดสายตามองเทียนจำลองปูนปั้นต้นใหญ่ มุมโน้นใกล้ลานหญ้าเขียวมีกลุ่มครอบครัวหลากวัยปูเสื่อนั่ง ๆ นอน ๆ มองดูเด็ก ๆ ที่วิ่งเล่นหยอกล้อกันอย่างอิสระ
นักท่องเที่ยวกลุ่มหนึ่งกำลังถ่ายรูปหน้าอนุสาวรีย์แห่งความดี หลายคนกำลังกราบไหว้บนบานอยู่ที่หน้าอนุสาวรีย์ท่านท้าวคำผง
ไกลออกไปคนละฟากถนนกับทุ่งศรีเมือง มุมทิศตะวันตกเฉียงเหนือที่ติดกับศาลจังหวัดเป็นที่ตั้งของวัดสุทัศวนาราม มองเห็นหน้าบันของโบสถ์ทรงแปลกตา ศิลปะเอกลักษณ์อุบลราชธานีสีนวลชมพูชูยอดทอดมองออกมาจากทิวไม้เขียวในวัด
ใกล้ประตูหน้าของโบสถ์หลังนั้นนั่นเองเป็นที่บรรจุอัฐของเจ้านางเจียงคำ ด้วยวัดแห่งนี้เป็นวัดที่บรรพบุรุษฝ่ายราชบุตร(สุ่ย)ปู่ของเจ้านางสร้างขึ้น และลูกหลานได้อุปถัมภ์ทำบุญสืบทอดกันต่อ ๆ มา
เจ้านางเจียงคำมีโอรส ๒ พระองค์ คือ หม่อมเจ้าอุปลีสาณ ชุมพล และหม่อมเจ้ากมลีสาณ ชุมพล ในปี ๒๕๕๒ ได้ย้ายติดตามพระสวามี พร้อมหม่อมชาวอุบลอื่น ๆ และโอรส ธิดา อีกหลายคน เข้าพักในพระราชวังดุสิต จนถึงบั้นปลายของชีวิตเจ้านางได้กลับมาอยู่บ้านเกิด และป่วยเป็นอำพาตกระทั่งถึงแก่อนิจกรรม ณ โฮงที่พักของพระวิภาคพจนกิจ(เล็ก สิงหัษฐิต)เลขานุการในพระองค์กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ ถนนพิชิตรังสรรค์ เมื่อพ.ศ. ๒๔๘๑ สิริอายุ ๕๙ ปี และอัฐิได้ถูกบรรจุไว้หน้าพระอุโบสถ์วัดสุทัศวนารามซึ่งมองเห็นได้จากทุ่งศรีเมืองแห่งนี้
๐๐๐