ข้าวจี่
โดย สาวภูไท
คึดฮอดน้องบุญข้าวจี่เดือนสาม
สาวผู้งามหนีไปไทยหายจ้อย
ปั้นข้าวน้อยเหยหอมแล้วไป่
ฮอดเดือนสี่พี่ท่าเจ้ากินข้าวกล่อมน้ำตา
สาวภูไทเอ้ย...
คนที่อยู่ในวัฒนธรรมข้าวเหนียวคงไม่มีใครไม่รู้จักข้าวจี่
เพราะมันคือ อาหารง่าย ๆ ผลิตจากข้าวเหนียว (นึ่งสุกแล้ว) ผสมเกลือ ปั้นเป็นก้อนใส่น้ำอ้อยไว้ตรงกลาง(ปัจจุบันผสมไข่แทนน้ำอ้อย) นำไปจี่หรือปิ้งเหนือกองไฟที่เกลี่ยถ่านแดง ๆ ไว้แล้ว ส่งกลิ่นหอมกรุ่น โดยเฉพาะหากเป็นช่วงข้าวใหม่จะหอมกลิ่นข้าว กลิ่นไฟ บิกินร้อนๆ เป็นอาหารว่าง (กินกับกาแฟดีนักแล) ก่อนอาหารมื้อใหญ่ หรือใช้เป็นอาหารยามยาก พกติดตัวไปกินระหว่างเดินทางออกไปเสาะหาปู ปลา หรืออื่นใดมาปรุงอาหารมื้อใหญ่ประจำวัน
ข้าวจี่ เป็นอาหารสำหรับคนทุกวัย ใช้ป้อนเด็กน้อย หรือสำหรับคนฟื้นไข้ที่มักผิดสำแดงกินอะไรอื่นไม่ค่อยได้ โดยเฉพาะแม่ลูกอ่อนอยู่ไฟกินอะไรก็ขะลำ*ไปหมด ข้าวจี่คืออาหารอย่างเดียวที่กินได้ทุกคน
กินข้าวจี่ให้อร่อยต้องกินขณะข้าวยังร้อน ปิ้งสุกใหม่ ๆ หากปล่อยไว้ในเย็นข้าวจะแข็งมาก คนแก่ฟันไม่ดีอาจมีปัญหาได้...เนาะ
ข้าว ธัญพืชที่สำคัญ อาหารที่เลี้ยงคนค่อนโลกนี้มีวิวัฒนาการการเก็บจากป่ามาปลูกเป็นเวลากว่าหมื่นปีมาแล้ว โดยมีหลักฐานการปลูกแรก ๆ ที่หุบแม่น้ำแยงซีเกียงประเทศเทศจีน แล้วแพร่สู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สำหรับประเทศไทยพบว่าอารยะธรรมบ้านเชียงมีการผลิตข้าว ผลิตเครื่องปั้นดินเผา เหล็ก มากว่าห้าพันปีมาแล้ว
ข้าวที่ปลูกบริโภคเป็นหลักในประเทศไทย คือ ข้าวเจ้า ข้าวเหนียว
“ข้าวเหนียวข้าวเจ้ามันก็ข้าวเหมือนกัน”
นั่นเพลงเขาว่า
แต่ที่จริงแม้จะมีลักษณะต้นเหมือนกัน เมล็ดเหมือนกัน แต่จะแตกต่างกันที่เมล็ดเนื้อใน ส่วนที่เป็นแป้ง ข้าวเจ้านั้นมีแป้ง Amylose มากถึง ๑๕- ๓๐ เปอร์เซ็นต์ ส่วนข้าวเหนียวมีเพียง ๕-๗ เปอร์เซ็นต์เท่านั้นแต่กลับมีแป้งAmylosepectinมากถึง๑๕-๓๐ เปอร์เซ็นต์
ข้าว Rice เป็นพืชตระกูลหญ้า มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Oryza sativa L. ชื่อวงศ์(family) POACEAE หรือ GRAMINEAE พืชตระกูลหญ้าเป็นพืชที่ปกคลุมไปทั่วทุกภูมิภาคของโลก เพราะมีหลายหลากชนิด และแพร่กระจายพันธุ์ได้ง่ายและโตได้เร็วเป็นอาหารสัตว์ เป็นที่อยู่ของสัตว์โลกเล็กใหญ่ ไม่เว้นมวลมนุษยชาติ แต่หลายชนิดก็กระจายพันธุ์จนเป็นปัญหาของเกษตรกรในบางภูมิภาคเช่นกัน
ข้าวนั้นปลูกได้ตั้งแต่พื้นที่ลุ่มน้ำ นาทาม นาบุ่ง ไปจนถึงเขตภูเขาสูงเป็นข้าวไร่นาเทิงไป
เป็นประเภทใบเลี้ยงเดี่ยว ใบยาวแคบที่สัตว์กินหญ้าทั้งหลายก็ชอบกิน (แม้กระทั่งปูและหอยเชอร์รี่ก็ชอบด้วย) ลำต้นมีข้อปล้องแตกเป็นกอ เมล็ดหนึ่ง ๆ ปลูกแล้วอาจแตกเป็นกอได้กว่าสิบต้น ข้าวจึงเป็นพืชที่น่ารัก ปลูกง่าย ยามเธอส่ายใบลู่ลมดูคล้ายอี่นางน้อยกำลังเหยียแขนอรชรออกอ้อนลมผู้พัดพลิ้ว ยามออกดอกจะส่งกลิ่นหอมอ่อนพลิ้วกระจายตามสายลมผู้อ่อนโยน
เมล็ดข้าวก็คือส่วนที่เป็นผลของข้าวนั่นเอง เป็นอาหารที่มีประโยชน์ นับตั้งแต่เปลือกหุ้มเมล็ดที่กะเทาะออกมาแล้วกลายเป็นรำอาหารชั้นดีของหมูและไก่เชียว ส่วนคนนั้นก็บริโภครำข้าวได้ รวมถึงจมูกข้าวอันทรงคุณค่า
แป้งข้าวยังนำไปแปรรูปได้หลากหลาย เป็นแผ่น เป็นก้อน เป็นเส้นในซอง ในถ้วย เป็นอาหารคาวหวาน ทั้งข้าวเจ้า ข้าวเหนียว และธัญพืชอื่น ๆ ที่ได้ชื่อว่าข้าว
ข้าวจี่ เป็นวัฒนธรรมการบริโภคข้าวเหนียวอีกอย่างหนึ่ง
ในนิทานพื้นบ้านลาว-อีสาน เรื่อง “นางผมหอม” ตัวละครเอก คือ นางผมหอมเป็นเด็กกำพร้า(กำเนิดจากการที่แม่ของนางไปดื่มน้ำในรอยพญาช้างสาร) เป็นที่น่ารังเกียจของสังคมชาวบ้าน ไม่มีเด็กใด ๆ อยากเล่นด้วย จึงไม่มีเพื่อนเลย ไปขอเล่นกับใคร ๆ เขาก็วิ่งหนีหมด แม่ของผมหอมสงสารจึงสู้อุตส่าห์ทำข้าวจี่ทีละหลาย ๆ ก้อนให้ลูกนำไปแบ่งปันเด็ก ๆ คนอื่น ๆ แลกกับการได้เล่น ได้เป็นเพื่อนกับเขา
ประเพณีบุญข้าวจี่ เป็นบุญเดือนสามในภาคอีสาน มีมูลเหตุแห่งการทำ เล่าไว้ในหนังสือ ประเพณีโบราณอีสาน ของพ่อใหญ่ ดร.ปรีชา พิณทอง นักปราชญ์ชาวอุบลไว้ว่า
คราหนึ่ง เมื่อครั้งพุทธกาล นางปุณณทาสีได้ทำขนมแป้งจี่ขึ้น นำไปถวายแด่พระพุทธองค์ และพระอานนท์ นางคิดว่าเมื่อพระองค์รับแล้วคงจะไม่ฉัน คิดในใจว่า “อาหารของเราไม่ประณีต ท่านคงโยนให้กาและสุนัขกินเสีย”
แต่เมื่อพระพุทธองค์ทรงทราบวาระจิตของนางปุณณทาสีแล้วจึงรับสั่งให้พระอานนท์ปูลาดอาสนะลง ทรงประทับนั่งฉันขนมแป้งจี่ ณ ที่นั้นเอง
นางปุณณทาสีได้เห็นดังนั้นก็เกิดปิติยินดีสุดกำลัง นางก้มลงกราบทั้งน้ำตา พระองค์ทรงแสดงธรรมให้ฟัง นางก็ได้บรรลุโสดา ปัตติผล เป็นอริยบุคคล เพราะข้าวจี่เป็นมูลเหตุดังนั้น
ชาวนาเมื่อเก็บเกี่ยวข้าวแล้ว จึงพากันทำบุญข้าวจี่ เพราะการถวายข้าวจี่มีอานิสงส์มาก
ปัจจุบันบุญข้าวจี่ในช่วงเดือนสามยังถือปฏิบัติในบางท้องถิ่นของอีสาน หลายจังหวัดฟื้นฟูขึ้นมาเป็นงานใหญ่ประจำจังหวัด เพื่อรณรงค์การท่องเที่ยวในท้องถิ่น
ตามท้องตลาดปัจจุบันมีการตั้งเตาปิ้งข้าวจี่ขาย เพิ่มรสชาติด้วยการใช้ไข่ผสมเครื่องปรุง เช่น เกลือ น้ำปลา หรือ ซอส ซีอิ๊ว เป็นอาชีพเลี้ยงตัวและครอบครัวได้ทีเดียวหละ
เดือนสามของทุกปีอยู่ในช่วงเวลาอากาศยังหนาวเย็น เดือนหงาย ๆ นั่งล้อมวงผิงไฟด้วยกัน ปิ้งข้าวจี่ร้อน ๆ กินด้วยกัน นับเป็นกิจกรรมสร้างสัมพันธ์ ผูกน้ำใจ สร้างความอบอุ่นคุ้นเคยของผู้คนในสังคม โดยไม่ต้องรอให้มีบุญมีงานการบอกจ้างไหว้วาน...ของวันวาน
๐๐๐๐๐๐๐
*ขะลำ- ข้อห้าม,ต้องห้าม
อ้างอิง --- หนังสือประเพณีอีสานโบราณ โดย ปรีชา พิณทอง