เอกภาพการบริหารจัดการป่าอนุรักษ์ต้องโฟกัสที่พื้นที่(Area Approach)
โดย ธงชัย เปาอินทร์ เรื่อง-ภาพ
เจตนารมณ์ของการตั้งกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช
เพื่อปกป้อง คุ้มครองและจัดการ พื้นที่ป่าอนุรักษ์ ซึ่งประกอบไปด้วย ป่าอนุรักษ์ประเภท อุทยานแห่งชาติ และประเภท เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เป็นหลัก และเหมารวมถึงพื้นที่ป่าต้นน้ำ เป็นส่วนควบแต่ไม่มีกฎหมายเฉพาะป่าต้นน้ำ
โดยการตราพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ.2504 และพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าพ.ศ.2535 เป็นเครื่องมือทางกฎหมายที่ใช้คุ้มครองพื้นที่ดังกล่าว หากมีกฎหมายใดขัดกับกฎหมายทั้งสองฉบับนี้ ให้ใช้กฎหมายนี้ในการพิจารณา
กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ยังได้กำหนดให้เจ้าหน้าที่ลงไปปฏิบัติงานตามกรอบของพื้นที่และกฎหมาย พร้อมด้วยยานพาหนะ เครื่องมือสื่อสาร อาวุธยุทโธปกรณ์ และงบประมาแผ่นดิน พร้อมเพรียง
สภาพปัญหาเรื่องการบริหารจัดการป่าอนุรักษ์ในปัจจุบันนี้
กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ได้แบ่งกรอบงานเป็นสำนักต่างๆมากมายในรูปแบบเดิม คือการแบ่งไปตามสายงานทางวิชาการ(Function) ประกอบไปด้วย สำนักอุทยานแห่งชาติ สำนักอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่า สำนักจัดการและอนุรักษ์ต้นน้ำ สำนักป้องกัน ปราบปรามและควบคุมไฟป่า ฯลฯ
ในปัจจุบันนี้ พื้นที่ป่าอนุรักษ์ประเภทอุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ประกาศพื้นที่ครอบคุลมป่าต้นน้ำหรือหน่วยจัดการต้นน้ำหลายแห่ง สถานีป้องกัน ปราบปราม และควบคุมไฟป่า แต่ในทางปฏิบัติ หน่วยจัดการต้นน้ำยังปลูกป่าฟื้นฟูต้นน้ำตามรูปแบบภายใต้สังกัด สำนักจัดการและอนุรักษ์ต้นน้ำ และสถานีป้องกัน ปราบปราม และควบคุมไฟป่า ยังบริหารงานภายใต้สังกัดสำนักป้องกัน ปราบปราม และควบคุมไฟป่า
นั่นหมายถึง แม้จะอยู่ในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ทั้งสองประเภท แต่การบริหารจัดการไม่ได้อยู่ภายใต้การบริหารของป่าอนุรักษ์ดังกล่าว และงบประมาณก็แยกการบริหาร เช่นที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ มีสถานีป้องกัน ปราบปรามและควบคุมไฟป่า แต่เมื่อเกิดไฟไหมในอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ หัวหน้าอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ไม่สามารถสั่งการได้ โดยสิ้นเชิง
หรือในหน่วยจัดการต้นน้ำ หัวหน้าอุทยานแห่งชาติก็ไม่สามารถไปสั่งให้ปลูกป่าฟื้นฟูต้นน้ำด้วยชนิดพันธุ์ไม้ในถิ่นกำเนิดก็ไม่ได้ คนละสังกัด
หลักการจัดการป่าอนุรักษ์สากล เขาทำกันอย่างไร
เมื่อประกาศพื้นที่ป่าอนุรักษ์ทับพื้นที่ใดๆแล้ว ถือว่ากำหนดพื้นที่เป็นเป้าหมาย(Area Approach) มีชุมชนอยู่ เขาอพยพออกเพื่อให้พื้นที่บริสุทธิ์ด้วยผืนป่า ไม่เกิดปัญหาจากมนุษย์ที่สมองโตและขี้โกง เรียกว่าป้องกัน ภารกิจใดในกรอบพื้นที่ดังกล่าวต้องใช้หลักการบริหารจัดการป่าอนุรักษ์แต่เพียงหนึ่งเดียว ใช้กฎหมายและระเบียบเดียวกัน ต้องบริหารภายใต้ผู้บริหารคนเดียวกัน และบริหารงบประมาณได้ทุกส่วนที่มีอยู่ เครื่องมือ อุปกรณ์ และยานพาหนะ สามารถระดมใช้เพื่อการใดการหนึ่งได้ เรียกว่าเอกภาพการบริหาร (one stop service)
กรอบหน่วยงานในสังกัดของป่าอนุรักษ์สากล ประกอบด้วย
ฝ่ายป้องกัน ปราบปราม การกระทำผิดด้วยพืชและสัตว์ แม้กระทั่งการห้ามเข้าใกล้สัตว์ป่าในฤดูผสมพันธุ์หรือหิมะตกหนักเกินพิกัด หรือปล้นไม้พะยูงจากในเขตป่าอนุรักษ์
ฝ่ายป้องกัน และควบคุมไฟป่า ป้องกันมิให้เกิดไฟป่าและสามารถสั่งการดับไฟป่าได้ในทันใด บ้านเราก็สถานีป้องกัน ปราบปรามและควบคุมไฟป่านั่นไง
ฝ่ายวิศวกรรมการป่าไม้ ทำหน้าที่ออกแบบ ซ่อม สร้าง สิ่งก่อสร้างทุกประเภทในผืนป่าดังกล่าวเพื่อให้กลมกลืนกับสภาพทางธรรมชาติ แม้แต่เรื่องการใช้สีสากลของป่าอนุรักษ์
ฝ่ายฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อสร้างพืชอาหารสัตว์หรือฟื้นฟูป่าเสื่อมโทรมจากเหตุไฟไหม้หรือหิมะถล่ม บ้านเราก็หน่วยปลูกป่าต้นน้ำนี่แหละ
ฝ่ายศึกษาและวิจัย ภายในและภายนอกพื้นที่ป่าอนุรักษ์ที่เกี่ยวข้อง อันอาจวิจัยทางสังคมเพื่อนำมาเป็นพื้นฐานการพัฒนาให้เหมาะสม
ฝ่ายนันทนาการกลางแจ้ง ดูแลเรื่องการบริหารพื้นที่และรูปแบบการพักผ่อน เช่นบ้านพัก แคมป์กราวน์ เส้นทางศึกษาธรรมชาติ เป็นต้น
กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ต้องเปลี่ยนรูปแบบการบริหารไหม
จากสภาพปัญหาการบริหารแบบแยกส่วนตามสายวิชาการดังกล่าว ทำให้เกิดปัญหาการบริหารพื้นที่ป่าอนุรักษ์อย่างเห็นได้ชัดเจนเมื่อเกิดไฟป่าหรือเกิดการลักลอบล่าสัตว์ป่าหรือขโมยตัดไม้พะยูง หรือกรณีการปลูกป่าฟื้นฟูต้นน้ำในเขตป่าอนุรักษ์
ดังนั้นเพื่อให้เกิดการบริหารงานอย่างมีเอกภาพ กรมอุทยานฯต้องทำลายระบบการจัดการรูปแบบเดิมๆ โดยกำหนดให้หน่วยงานใดในพื้นที่ที่ประกาศเป็นผืนป่าอนุรักษ์ประเภทใดๆก็ตาม ให้หัวหน้าป่าอนุรักษ์นั้นๆเป็นผู้บริหารจัดการเต็มอำนาจและหน้าที่
ปัญหานอกกรอบและระเบียบราชการ คือหวั่นกลัวกันว่า ส่วนแบ่งและตัวแบ่งจะเบ่งบานมากขึ้นๆ