หลงเสน่ห์อยุธยา
๔.เด็กชายในถุงแดง
“เอื้อยนาง”
มีเสียงคนกรีดร้องดังขึ้นมาให้ได้ยิน เจ้าหัวลูกตาลมีอาการสะดุ้ง ตกใจ รีบมาคว้ามือของฉัน แล้วพาล่องลอยอีกครั้งตรงไปที่ต้นเสียงอย่างรีบเร่ง
เสียงกรีดร้องนั้นโหยหวนราวกับจะขาดใจ ดังออกมาจากหมู่เรือนที่อยู่ฝั่งตรงข้าม อันมองเห็นอยู่ลิบ ๆ ในทิวไม้
ฟ้ามืดลงมองเห็นด้านล่างสลัวราง ในแม่น้ำปรากฏมีเรือ พายจำนวน หลายลำกำลังมุ่งหน้าไปทางเดียวกันเงียบ ๆ ฝีพายในเรือล้วนเป็นชายฉกรรจ์ที่นุ่งผ้าเหน็บเตี่ยวมีบางคนเท่านั้นที่สวมเสื้อ และในอ้อมกอดของชายคนที่สวมเสื้อมีถุงผ้าสีแดงมัดปากแน่น สิ่งที่อยู่ภายในถุงดิ้นขลุกขลักให้เขาต้องกระชับอ้อมแขนกอดกดให้แน่นไว้ตลอดเวลา
เรือทั้งหลายที่ล่องมาตามแม่น้ำต่างวกอ้อมตามกันเข้าในลำคลอง และมาจอดนิ่ง
ริมฝั่งที่มีชานระเบียงบ้านยื่นออกมารายเรียง เสียงร้องไห้ของผู้หญิงที่โหยหวนนั้นดังลงมาจากเรือนหลังใดหลังหนึ่ง ณ ที่นี่เอง
“ท่านขุนมาแน่ะ บอกให้นางละมุดมันหยุดร้องทีซิ เดี๋ยวได้หัวขาดหรอก”
เสียงตะโกนมีอำนาจจากบนเรือนดังขึ้น หยุดเสียงทั้งปวงให้เงียบลง เหลือไว้แต่เสียงฝีพายกระทบน้ำ ด้านล่าง และเสียงขลุกขลุกของสิ่งที่อยู่ในถุงแดง
“ลงไปรับท่านขุน ไปอุ้มเอาถุงแดงนั้นขึ้นมา”
เสียงเดิมที่มีอำนาจหยุดเสียงทั้งปวงนั้นดังขึ้นอีกที ชายแก่บนเรือนรีบวิ่งงกเงิ่นลงไปท่าน้ำ ซึ่งมีเรือหลายลำจอดชะลออยู่
ท่านขุน คือชายในเรือที่มีถุงแดงในอ้อมกอด เขาลุกขึ้นยืนก้าวขึ้นมาบนฝั่ง ทันทีที่ทาสบนเรือนวิ่งลงมาหมอบอยู่ตรงหน้า ท่านขุนก็ยื่นถุงที่เคลื่อนไหวขลุกขลักนั้นไปให้
“ฝากท่านบาทหลวงเลี้ยงไว้ด้วย และจำไว้ว่าหากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไปทุกคนจะไม่มีหัวอยู่บนบ่า”
ท่านขุนกระซิบเสียงเบา แต่มันคล้ายดังสะท้านสะเทือนไปทั้งหล้าโลก แล้วท่านก็ถอยกลับไปลงเรือ และหายไปในสายน้ำ
ถุงแดงมาวางกลิ้งอยู่ตรงหน้าแล้ว ชายชราเจ้าของเรือน เจ้านายของทุกคนในหมู่เรือนก้มลงกราบครั้งหนึ่ง พลอยให้ทาสผู้ลงไปรับถุงขึ้นมาทำตาม
“พระเจ้าหัวผู้ทรงพระเยาว์ ต่อไปนี้ท่านจะเป็นเด็กธรรมดาลูกนังละมุด”
พูดเสียงเบาได้ยินกันสองคน ก่อนแก้ปากถุงออก เผยให้เห็นร่างอ่อนระโหยของเด็กชายวัยไม่เกิน ๕ ขวบนอนคุดคู้อยู่ มือ เท้า ปาก ตา ล้วนถูกมัดแน่น เด็กน้อยมีเพียงลมหายใจที่แผ่วโผยให้ชายชราทั้งสองช่วยกันปฐมพยาบาลอย่างเร่งด่วน แล้วนางละมุดจึงถูกตามตัวมา
“เด็กคนนี้คือลูกของเจ้า จำใส่ใจไว้ว่า ถ้าเด็กคนนี้ยังอยู่ ลูกของเจ้าก็ยังอยู่ และเรื่องนี้เรารู้กันเพียงสามคน”
ประกาศิตนั้นทำให้นางละมุดค่อย ๆ ยื่นแขนอันสั่นเทามาอุ้มเอาร่างเล็ก ๆ เท่าลูกน้อยของนางที่หายตัวไปทำให้นางร้องไห้คร่ำครวญอยู่ไม่หยุด กระชับ ร่างเล็ก ๆ
เข้าไว้ในอ้อมกอด กระแสความอบอุ่นแผ่ซ่าน นางให้สัญญาด้วยใจว่า เขาก็คือเลือดในอกของนาง
“นางเป็นแม่ของเจ้าหรือเปล่า”
ฉันกระซิบถามเจ้าหัวลูกตาลผู้ตามหาแม่ เขาส่ายหน้า ส่ายหัวจนผมฟู ๆ
ไหวเพยิบ
“ที่นี่คือบ้านของเจ้าไม่ใช่หรือ” ฉันถามเพราะที่นี่คือส่วนหนึ่งของหมู่บ้านโปรตุเกสที่ฉันเก็บเอาลูกตาลไปเมื่อวันวาน
“ใช่...แต่ แม่ พาผม มาที่นี่เป็นบางครั้งเท่านั้น นางละมุดเป็นน้องสาวของแม่”
“แล้วพ่อของเจ้าล่ะ”
“พ่ออยู่กองอาสา ไปสงครามบ่อย ๆ พ่ออยู่ตรงนั้น”
เขาชี้มือไปที่เนินดินใต้ต้นไม้ใหญ่ถัดขึ้นไป ฉันมองไม่เห็นสิ่งใดกำลังจะอ้าปากถาม เขาชิงตอบอย่างรู้ใจว่า “ฝังอยู่ตรงนั้นแหละ แต่ไม่มีแม่ เมื่อพ่อตายแม่ก็หายไป”
“ไปดูกันสิ” เขาชวนแล้วพาฉันผละไปที่เนินดินใต้ต้นไม้ใหญ่ที่มีเพียงหลุมลึกกองกระดูกมนุษย์กระจัดกระจายบนเนินดิน
“พวกขุดสมบัติมาขุดค้น” ฉันหลับตาลงไม่อยากมอง ได้ยินเจ้าหัวลูกตาลถอนหายใจเฮือก ราวกับเขาก็มีความรู้สึกเครียดกับสิ่งที่เห็นเหมือนกัน
“ส่วนผู้หญิงคนนั้น แม่ละมุดน่ะ ลูกของนางก็อยู่ในถุงแดง แต่ไม่ใช่ถุงนี้ ไปดูกันเถอะ”
ชั่วพริบตา เพียงลืมตาอีกทีสภาพสิ่งแวดล้อมก็เปลี่ยนไปแล้ว “ที่นี่ที่ไหน” ฉันเอ่ยถามพลางเงี่ยหูฟังเสียงสวดมนตร์ที่ดังมาจากราวป่าเบื้องหน้า
“โคกพญา”
เขากระซิบตอบพลางทำเสียงจุปากในลำคอ เป็นเชิงห้ามฉันพูด หรือส่งเสียง
“โคกพญาหรือ”
พระสงฆ์หมู่หนึ่งนั่งพนมมือบนเสื่อที่ปูทับพื้นหญ้าแฉะ ๆ หลับตา ปากสาธยายมนตร์ส่งวิญญาณ ตรงหน้ามีถุงแดงแบบเดียวกับที่เห็นคนเรือนำขึ้นบนเรือนเมื่อครู่ แต่ถุงนี้ไม่ขยับเขยื้อนเหมือนสิ่งที่อยู่ภายในเป็นเพียงสิ่งไม่มีชีวิตแล้ว
“ลูกของนางละมุดอยู่ในนั้นหรือ” ฉันเดาเรื่องได้ทะลุปรุโปร่งแต่แรกแล้ว แต่ยังอดไม่ได้ที่เอ่ยปากถามด้วยความตื่นเต้น โดยที่เจ้าหัวลูกตาลห้ามไม่ทัน
และเสียงของฉันก็เป็นเหตุ
“เฮ้ยมีใครอยู่ตรงนั้น” ผู้ชายกลุ่มหนึ่งไม่รู้มาจากไหน ทุกคนล้วนนุ่งผ้าสีแดงและมีแถบผ้าแดงคาดศีรษะ ปล่อยลำตัวที่มีรอยสักลายพร้อยเปล่าเปลือย ในมือทุกคนล้วนมีดาบยาว ต่างกรูกันมาทางที่เราซ่อนตัวแอบดูอยู่ สีหน้าท่าทางของทุกคนล้วนมุ่งร้ายหมายชีวิต ฉันออกวิ่งหนีด้วยสัญชาตญาณการเอาชีวิตรอด
“จับตัวมา จับให้ได้ จับไม่ได้ก็ฆ่าทิ้งเลย ”
เสียงตะโกนตามหลังเหมือนแรงส่งให้ขาของฉันมีพลังวิ่งไปข้างหน้า ลืมเจ้าหัวลูกตาลไปชั่วครู่ แต่ก็เขานั่นแหละที่เร็วกว่า เขาวิ่งนำหน้าราวกับลมพัด แถมมาพัดหอบเอาร่างฉันรอดพ้นจากนักล่าได้ในชั่วพริบตา
เรามาหอบตัวโยนอยู่ที่ศาลาหน้าโบสถ์วัดพระเมรุที่มีผู้คนจอแจซึ่งเราเพิ่งจากไปเมื่อเช้านี่เอง สภาพความเป็นจริงในปัจจุบันปรากฏขึ้นอีกครั้ง ฉันพยามยามมองกลับหลังหาผู้ที่ติดตามมา แต่ไม่มีแม้เงาของเพฆาตโบราณนุ่งผ้าแดงตามมาสักคน บริเวณโคกพญา หายไปแล้ว เห็นแต่สภาพปัจจุบันที่มีผู้คนพลุกพล่านในวัด
“ที่นี่ไม่ปลอดภัยหรอก”
เจ้าหัวลูกตาลว่ายังไม่ขาดคำก็มีเสียงดังลั่นราวกับฟ้าผ่าขึ้นข้างหลัง
“หายไปไหนวะ หาตัวไม่ได้ท่านขุนเอาเราตายเลย ความลับของพระเจ้าอยู่หัวหมายถึงหัวของพวกเราด้วย มันจะอยู่หรือจะหลุดจากบ่า ถูกโยน ให้แร้งกากิน”
ท่ามกลางฝูงชน นักล่ายังคงตามมาไม่ลดละ เขาเดินผ่านทะลุผู้คนมาสอดส่องมองหา
“เร็ว!!!...”
เจ้าเด็กน้อยจอมยุ่งคว้ามือของฉันกระชากพาปลิวไปอีกครั้ง ฉันได้แต่หลับตา หายใจ หายคอติดขัดไปหมด ชีวิตของฉันตอนนี้เหมือนแขวนอยู่ในมือน้อย ๆ ที่ไร้สัญชาติไร้หัวนอนอย่าว่าแต่ปลายเท้าเลย แม้แต่เลือดเนื้อเขายังไม่มี
“ไปหาน้าละมุดกัน” แม้ไม่ลืมตาฉันก็ได้ยินเขากระซิบในสายลม
“ไม่เอ้า...” คราวนี้ฉันรู้จักปฏิเสธเสียมั่ง ตามใจเขามามากแล้วนี่(ที่จริงขืนไม่ได้เหมือนถูกสะกดมากกว่า)
ฉันนึกถึงเพื่อนที่หมู่บ้านญี่ปุ่น
“กลับไปที่หมู่บ้านญี่ปุ่นเถอะ เพื่อนฉันคงตามหาเราแย่แล้ว”
เขาไม่ตอบคำแต่พาฉันมาหยุดอยู่ที่แห่งหนึ่งที่มีพื้นโยกไหว ครั้นลืมตาขึ้นฉันกลับเห็นว่าเรามายืนอยู่บนแพริมฝั่งน้ำ ผู้คนมากมายกำลังโปรยอาหารให้ปลาที่คลาคล่ำอยู่ในน้ำใต้พื้นแพ นกพิราบจำนวนมากมายพอ ๆ กับปลาโผผินขึ้นลงระหว่างพื้นน้ำกับหลังคาเบื้องบน เป็นสภาพแสดงให้เห็นความเป็นสามภพแห่งโลก คือในน้ำมีปลา บนนแพมีฝูงชน และมีนกในอากาศ
“ที่นี่ที่ไหน” ฉันตั้งใจจะถามเจ้าหัวลูกตาลตัวยุ่ง แต่เสียงเพื่อนของฉันที่กำลังโปรยเศษขนมปังลงให้ปลาเงยหน้ามาตอบว่า
“อ้าวก็แพท้ายวัดพนัญเชิงไง ลงมาเดี๋ยวนี้ยังไม่รู้อีก”
แน่ะ คุณเธอไม่มีทีท่าแปลกใจอะไรเลยกับเหตุการณ์ที่ผ่านมา ฉันมองหน้าเจ้าหัวลูกตาลเห็นทำยักคิ้วหลิ่วตาก็เลยถอนหายใจ เป็นฝีมือเขาอีกละซี
“หรือว่าเมื่อตะกี้...” เพื่อนเงยหน้าขึ้นมาทำสีหน้าฉงน ฉันจึงยิ้มกลบเกลื่อนและพูดเป็นเชิงแก้ตัวอ้างเหตุว่า ก็ที่วัดนี้มีที่ให้เดินเข้าไปกราบไหว้ เยี่ยมชม และทำบุญมากมาย ผู้คนก็เบียดเสียด ก็มีหลงกันบ้างละ
“เฮ้ยโน่นอะไร”
ใครบางคนบนแพตะโกนขึ้นพลางชี้มือไปที่กลางแม่น้ำ หันเหความสนใจของทุกคนไปที่นั่น ปรากฏเรือพายไร้สัญชาติดงดิ่งมา ที่ทำให้ทุกคนแปลกใจจนเบิ่งตาค้างก็คือ ฝีพายล้วนเป็นชายฉกรรจ์ นุ่งผ้าแดง คาดผ้าแดงที่หัว เนื้อตัวลายพร้อย หน้าตาถมึงทึงบอกบุญไม่รับ ดูเหมือนว่าเกิดมาชาตินี้จะไม่รู้จักรอยยิ้มเลยสักนิด
“เขาตามเรามาแล้ว” ฉันร้อนรนขึ้นมาทันที
“เร็วขึ้นไปไหว้กราบหลวงพ่อโตข้างบนกัน”
เจ้าหัวลูกตาลทำไมถึงฉลาดอย่างนี้ก็ไม่รู้ เขาคว้าข้อมือของฉันฉุดดึงขึ้นจากแพริมน้ำ มุ่งหน้าไปวิหารด้านบนทันที ฉันฉุดแขนเพื่อนไปด้วยอย่างเร่งด่วน ก่อนที่เรือลำนั้นจะทันมาจอดข้างแพ
ในยามมีภัยมาอย่างนี้เราคิดถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองเสมอ
๐๐๐๐