พม่าไม่ไปไม่รู้ ๔
แสงดาวพราวกะพริบที่ย่างกุ้ง
โดยเอื้อยนาง เรื่อง-ภาพ
เม็ดฝนเหือดหายไปชั่วครู่เมื่อคณะศรัทธาไทยของเราขึ้นจากเรือกลับสู่รถที่จอดรออยู่ ทำให้หนุ่มนะโพควาไม่ต้องคอยกางร่มให้ คงมีแต่ตั่งเล็ก ๆ ที่เธอยกมาตั้งเคียงข้างประตูให้เราได้ก้าวขึ้นรถได้สะดวก
เราเดินสวนกับทัวรีสชาวไทยอีกคณะใหญ่ที่ทยอยกันไปลงเรือ มุ่งหน้าไปที่เจดีย์กลางน้ำเยเลพญาที่เราเพิ่งจากมา เด็ก ๆ หน้าเข้ม ๆ นัยน์ตาซื่อ ๆ มีแววเว้าวอนยังยกโขยงตามติดมารุมล้อมยื่นมือผอม ๆ ออกมาพร้อมเอ่ยคำว่า มันนี่...มันนี่...
คำว่า Money ... ของเด็ก ๆ ชาวพม่า (รวมถึงเณร พระ แม่ชี ตาฤาษี)ตามแหล่งท่องเที่ยวต่างๆฟังดูมีพลังบางอย่างให้เราต้องควักตังค์ในตอนแรก ๆ ที่พบเจอ แต่ครั้นนานเข้า บ่อยเข้า มากเข้า ฉันก็เลยย้อนกลับในใจว่า เออแล้วเราเป็นหนี้กันมาแต่ชาติปางใดหนอ (จะหมดกระเป๋าอยู่แล้วน่ะ) แล้วเลยก้มหน้างุดไปขึ้นรถปล่อยให้ความรู้สึกขัดแย้งในใจมันตีกันจนราบคาบไปเอง
ดวงตะวันคล้อยต่ำลงไปทุกที ส่องลำแสงเฉียง ๆ ทะลุม่านเมฆมากระทบน้ำในแม่
น้ำย่างกุ้งสะท้อนประกายระยิบเมื่อเราข้ามสะพานหันหน้าสู่ย่างกุ้งอีกที แม่น้ำย่างกุ้งชวงนี้กว้างมาก กว้างกว่าแม่น้ำเจ้าพระยาช่วงที่ข้ามไปมาระหว่างกรุงเทพ-ธนบุรีเป็นไหน ๆ
อองจี โชว์เฟอร์หนุ่มผู้เคร่งขรึมเร่งความเร็ว(แต่ก็ยังช้าอยู่ดีสำหรับชาวไทย) เพราะคุณติ๊กเธออยากให้เราได้มีเวลาชมพระเจดีย์โบตะทาว สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ตระการตาอีกแห่ง ให้ทันช่วงเวลาคาบเกี่ยวระหว่างที่แสงตะวันยังสาดส่องก่อนลับหายแล้วมีแสงสปอร์ตไลท์ขึ้นมาขับสีทองขององค์พระเจดีย์ให้เรืองรอง จะได้ชมความงามทั้งจากแสงตะวันยามยอแสง และแสงไฟฟ้าที่ส่องต้องความอร่ามเรือง
“ยังมีเวลาอีกนิดหน่อย ไปเก็บกระเป๋าขึ้นห้องพักกันก่อนนะครับ” คุณติ๊กประกาศ
“ทำเวลาด้วยนะคะ ไปนมัสการเจดีย์ และเทพทันใจที่นั้นแล้ว เราต้องไปทานอาหารที่ภัตตาคารเรือการเวกอีก” น้องปุ๋ยสาวไกด์จากไทยแลนด์ผู้รับผิดชอบความสุข-ทุกข์ของพวกเราเร่งรัดด้วยน้ำเสียงน่ารัก
ค่ำนี้เราจะพักกันที่โรงแรม กันดอว์จี KANDAWGYI PALACE ซึ่งตั้งอยู่ริมฝั่งทะเลสาบที่ชื่อเดียวกับโรงแรม แต่ฝรั่งเรียกว่า ROYAL LAKE เป็นทะเลสาบกลางกรุงที่จัดแต่งเป็นแหล่งพักผ่อนของชาวเมือง มีสถานที่สำคัญ ๆ หลายแห่งตั้งอยู่รอบทะเลาสาบนี้ หรือใกล้เคียง พม่าเรียกกันดอว์จีหมายถึง ทะเลขุดหลวง เพราะเดิมทีเชื่อกันว่าที่แห่งนี้เป็นเพียงบึงใหญ่ตามธรรมชาติ เมื่ออังกฤษเข้ายึดครองย่างกุ้งจึงได้ขุดแต่งแปลงให้เป็นทะเลสาบ มีสวนสาธารณะ มีศาลากลางเกาะรูปทรงแบบพม่า มีสะพานเชื่อมทอดยาวที่ชาวเมืองในปัจจุบัน นิยมมาออกกำลังกายกัน ในศาลากลางเกาะมองไป(มองจากร้านอาหารริมฝั่งที่คุณติ๊กพาไปทานมื้อกลางวันที่ผ่านมา)เห็นมีคนพม่าจับกลุ่มกินเมี่ยง กินหมาก นั่ง ๆ นอน ๆ น่าสบาย นับเป็นมรดกตกทอดอันทรงคุณค่าอย่างหนึ่งจากยุคล่าอาณานิคม
โรงแรมกันดอว์จี เป็นสถาปัตยกรรมประยุกต์สร้างด้วยไม้สักทองทั้งหลัง โอ่โถง ทรงภูมิสวยงาม ล้ำค่า ทั้งภายในและภายนอก เห็นบรรยากาศในสวนด้านวอเตอร์ฟร้อนแล้วอดก้าวออกจากประตูไปเดินไม่ได้แม้มีเวลาน้อยนิด อยากนั่งอยู่ตรงนั้นพักกายพักใจสักพัก แต่ก็ต้องตัดใจเพราะน้องสาวจุ๋ม กับน้องชายรองวิทย์ช่วยกันเรียกหา บอกว่าเขาจะไปกันแล้วนะ ต้องกุลีกุจอขึ้นรถมุ่งพระเจดีย์โบตะทาวตามตารางเวลา เป็นเรื่องน่าเสียดาย ก็ต้องทำใจและตั้งใจไว้ว่า วันหลังจะกลับมาพม่าแบบอิสระให้ได้ ไม่ต้องติดข้องตามคณะทัวร์จะดีกว่า
ระหว่างรถวิ่งไปตามถนนผ่านเจดีย์สุเลซึ่งเป็นพระเจดีย์ที่มีความสำคัญอีกแห่งในย่างกุ้ง คุณติ๊กผู้มีตำนานเหลือเฟือเต็มพุงจึงเล่าถึงเจดีย์แห่งนั้นว่า SULE PAGODA สุเลเป็นชื่อของนัตองค์หนึ่งในสี่นัตตามตำนานการสร้างมหาเจดีย์ชะเวดากอง(ซึ่งจะเล่าถึงในคราต่อไป)ที่เล่ากันสืบมาว่า ในสมัยพระเจ้าโอปาลากะแห่งเมืองตะกอง(ชื่อเดิมของย่างกุ้ง)แห่งรามัญได้มีนายวาณิชชาวรามัญสองพี่น้องคือ ตะปุสสะ กับ ภัลลิกะ ได้เดินทางไปทำมาค้าขายยังอินเดีย และได้อัญเชิญพระเกศธาตุมายังรามัญประเทศ โดยมีพระฤาษีสี่ตนช่วยนำทาง ซึ่งต่อมากลายเป็นเทพนัตคอยปกปักรักษาพระเจดีย์ที่สร้างขึ้นประดิษฐานพระเกศธาตุ(เส้นพระเกศาของพระพุทธเจ้า)ที่สองพี่น้องได้อัญเชิญมาดังกล่าว
เดิมที่ตั้งของเจดีย์ทองเหลืองอร่ามทรงแปดเหลี่ยมองค์นี้ตั้งอยู่นอกกำแพงเมือง แต่ครั้นเจ้าอาณานิคมอังกฤษเข้ายึดครองก็ได้ปรับผังเมืองย่างกุ้งเสียใหม่โดยยึดเอาสุเลเจดีย์เป็นศูนย์กลางขยายถนนออกไปทั้งสี่ทิศ ดังนั้นใคร ๆ เข้ามาในย่างกุ้งจะเห็นเจดีย์นี้ตั้งตระหง่านด้วยรูปทรงแปดเหลี่ยมแปลกตา ใหญ่โตและสูงถึง ๑๕๗ ฟุต มองแต่ไกลเห็นส่วนยอดสีทองวาววามราวกับดวงดาวกะพริบพราวอยู่กลางเมือง ตึกรามบ้านเมืองในย่านนี้จึงมีสไตล์แบบ ยุควิคทอเรียเป็นมรดกตกทอดมาถึงปัจจุบันอยู่เยอะ
แดดยังคงส่อง แต่ฝนก็เริ่มโรยสายลงมาอีกเมื่อรถมาถึงหน้าประตูทางขึ้นสู่พระเจดีย์โบตะทาว เดือดร้อนนะโพควาต้องหาร่มกางส่งทุกคนเข้าสู่โถงประตูด้านหน้า ยังดีหน่อยที่ฝนเพียงโปรยละอองผิวผล็อย หลายคนจึงออกวิ่งมากกว่าจะคอยร่ม ฟ้าฝนคงอยากให้ความชุ่มเย็นแก่เรามากกว่าจะให้เปียกปอนจึงเพียงผ่อน ๆ สลับกับแสงแดดที่ออกมาเยี่ยมกรายเป็นบางครั้งเปิดโอกาสให้ถ่ายรูปได้บ้าง
แล้วเราก็ได้ตื่นตา ตื่นใจ กับความงามมหัศจรรย์ขององค์พระเจดีย์ทั้งภายในและภายนอก พระเจดีย์โบตะทาว ก็มีตำนานเกี่ยวข้องกับการสร้างมหาเจดีย์ชะเวดากองเช่นกัน แต่ ณ ที่ตรงนี้สร้างเพื่อเป็นที่ระลึกแก่นายทหารที่มาต้อนรับพระเกศธาตุที่สองพี่น้องวาณิชย์รามัญอัญเชิญมา คติการสร้างพุทธสถานของพม่านั้นจะแยกส่วนที่เป็นสังฆาวาส หรือที่พำนักสงฆ์ เรียกว่าอาราม (Kyaung – จอง ในภาษาพม่า)ออกจากส่วนที่เป็นศาสนสถานอันมีองค์พระเจดีย์เป็นประธาน ซึ่งเป็นเขตศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่ประกอบพิธีทางศาสนา ฟังธรรม ถือศีลภาวนา กระทั่งทำงานบุญต่าง ๆ จึงมี ศาลา วิหาร และศาลนัต ประดิษฐานพระพุทธรูป เทวรูปเคารพต่าง ๆ อยู่รายล้อม ตู้บริจาคตั้งไว้เป็นจุด ๆ พร้อมมีผู้นำดอกไม้ ธูป เทียน ตะกร้าเครื่องบูชาไว้บริการสนนราคาตั้งแต่ ๕๐๐ จั๊ตขึ้นไป
เครื่องบูชา นอกจากข้าวตอก(เสียบด้วยไม้เป็นช่อยาว) ดอกไม้ ธูป เทียน แล้วยังมีตะกร้าบรรจุไว้ด้วยกล้วย ๓ หวี และมะพร้าว ๑ ผลโตๆตั้งอยู่ตรงกลาง ศรัทธาจากไทยแลนด์แดนโยเดียนิยมปิดทองก็มีทองจำหน่ายให้แต่เสียใจด้วยค่ะเพราะไม่มีพระเครื่อง ของขลัง ตะกรุด พุทธมนต์ ให้บูชาหรอกนะ ที่ด้านในพระธาตุเจดีย์นี้มีห้องเล็ก ๆ แคบ ๆ วนเป็นเขาวงกตเดินเข้าไปนมัสการพระเกศธาตุ(พระเกศาของพระพุทธเจ้า)ซึ่งอยู่ลึกเข้าไปในส่วนกลางเจดีย์ และมีลูกกรงกั้นไว้ส่วนหนึ่งจึงได้แต่ยกมือพนมเคารพแล้วโยนแบ๊งค์ที่ต่างม้วนพันเป็นหลอดกลม หรือพับเป็นรูปกรวยเข้าไปสักการแล้วถอยออกมาชมความตระการตาของงานศิลปะล้ำค่าตามผนังและทางเดินก่อนออกสู่ประตูด้านนอกดังเดิม
ณ โถงด้านหน้านี้ถ้าเดินข้ามถนนไปจะมีศาลนัตชื่อเทพกระซิบอยู่ ส่วนด้านซ้ายมือคือศาลาหลังใหญ่มีผู้คนนั่งบำเพ็ญศีล ภาวนาอยู่เงียบ ๆ เป็นกลุ่ม ๆ ต่อพระพักตร์พระพุทธรูปที่มีอยู่เรียงรายด้านขวามือคือศาลนัตที่คนไทยรู้จักดี ชื่อ เทพทันใจ องค์นัตยืนชี้มือออกมาข้างหน้าผู้อยากขอพรจะซื้อตะกร้าบรรจุกล้วย มะพร้าวไปทำพิธี พร้อมด้วยธนบัตรสองฉบับพับเป็นกรวยนำไปเสียบที่อุ้งมือท่านนัตยื่นหน้าผากตนเองไปแตะนิ้วชี้ของท่านพนมมือคารวะขอพรแล้วเดินอ้อมไปด้านหลังท่านและกลับมาถอดเอาธนบัตรออกไปเก็บไว้เป็นสิริมงคลหนึ่งฉบับ
พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้วเมือเราออกมาจากศาลนัตเทพทันใจ สายฝนเริ่มหนาขึ้นแต่องค์พระเจดีย์ยังอร่ามเรืองรองด้วยแสงไฟสาดส่องต้ององค์ให้พราวพร่างดั่งดวงดาวที่พราวฟ้าไม่นำพาสายฝนที่โปรยปรายพรมพื้นจนเจิ่งนองนั้นเลย