สู้ตาย : ตำนานวีรชนบ้านบางระจัน
ป่าน ศรนารายณ์ เรื่อง-ภาพ
เมื่อแผ่นดินเกิดถูกรุกรานจากอริราชศัตรู ลูกผู้ชาย 11 คนลุกขึ้นนำการต่อสู้อย่างห้าวหาญ 5 เดือนกว่าที่กรำศึกสงครามอย่างทระนง พม่าล้มตายเกลื่อนกล่นถึง 7 ครั้ง แต่ด้วยน้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ ครั้งที่ 8 นักสู้ที่รวมตัวกันอยู่ที่ค่ายบางระจัน สู้จนตัวตาย ไม่มีเหลือ
เลือดสีแดงฉานอาบนองพื้นปฐพี วีรชนคนกล้าตอบแทนพระคุณแผ่นดินเกิดแล้ว คุณล่ะ ย่ำยีประเทศชาติเพียงใด เมื่อไรจะสำนึกเฉกเช่นคนจริงเมืองสิงห์เสียที
นายชิดพงษ์ ฤทธิ์ประสาท ผู้ว่าราชการจังหวัดสิงห์บุรี เปิดงาน
ฉากที่เห็นจากการแสดงแสงสีเสียง เป็นวิถีชีวิตของชาวชนบทที่งดงาม เด็กๆขี่ม้าก้านกล้วย บ้างก็นั่งลงคุยกันอยู่ อีกสาวหนึ่งขายของ ขี้เมาเดินเป๋ไปเป๋มาทักทายผู้คนไปทั่ว เช้าขึ้นก็ตักบาตรให้กับพระสงค์ที่หน้าบ้าน เป็นวิถีชีวิตที่มีความสุขตามวิถีที่ดำเนินต่อเนื่องมายาวนาน ค่ำลงก็เล่นเพลงฉ่อยขับกล่อมกันเป็นที่สนุกสนาน ความสุขอาบไล้ไปทั่วใบหน้าของชาวบ้านบางระจัน นั่นคือเมื่อปีพุทธศักราช 2307
แต่แล้วเมื่อย่างเข้าเดือนสามปีระกา พ.ศ.2308 ผู้คนแตกตื่นตกใจเมื่อมีชายหน้าตาแปลกๆ แต่งตัวด้วยโสรงโพกผ้าพันรอบศีรษะ ถือดาบยาวโง้ง วาววับด้วยความคม ช่างดูน่าสะพรึงกลัว คนเหล่านี้มาจากไหนไม่มีใครรู้จัก แต่ชั่วพริบตามันเริ่มต้นหยิบยกเอาเข้าของไปจากมือ แล้วฉุดคร่าอนาจารผู้หญิง ใครเข้าขวางก็ฆ่าเสียสิ้น ผู้คนแตกตื่นตกใจกลัวกันจนตัวสั่นงันงกไปทั่ว
จนในที่สุด วีรชนคนกล้าแห่งแขวงเมืองวิเศษไชยชาญ เมืองสรรค์ ชาวบ้านสีบัวทอง และชาวบ้านบางระจัน ทนดูไม่ไหว จึงได้รวมตัวกันได้แกนนำ 11 คน โดยมีพระอาจารย์ธรรมโชติจากวัดเขานางบวช สุพรรณบุรี มาจำพรรษาให้กำลังใจอยู่ที่วัดโพธิ์เก้าต้น
แกนนำเหล่าวีรชนคนกล้าได้แก่ จากบ้านสีบัวทอง 4 คนคือ นายแท่น นายอิน นายเมือง และ นายโชติ รวมกับ นายดอก บ้านกลับ นายทองแก้ว บ้านโพทะเล นายจัน หนวดเขี้ยว นายทองเหม็น พันเรือง นายทองแสงใหญ่ และขุนสรรค์ อีก 7 คนชาวบ้านหนีภัยมารวมตัวกันอีก 400 คน
หลบเข้ามาอยู่ในคูค่ายอาศัยอยู่ร่วมกันฉันพี่น้อง
แต่ช่างน่าอนาถใจนัก ทั้ง 11 คน มีอาวุธที่ใช้เพียงมีดสั้น หอก ดาบ ขวาน และปืน พาหนะที่ขี่ออกสู้ศึกมีเพียงควายเขากาง และกำลังขากับสมองที่ชาญฉลาด การสู้รบเกิดขึ้นถึง 8 ครั้งจึงแพ้อย่างราบคาบ เมื่อเดือนเจ็ดปีจอ พ.ศ.2309 รวมเวลาถึง 5 เดือนเศษ
นักสู้หัวใจแกร่งสู้จนตัวตาย
ป่านนั่งดูการแสดงด้วยความระทมทุกข์เวทนา น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ อีกทั้งในการสู้รบแต่ละครั้ง แกนนำก็ล้มตายไปทีละคนสองคน จนในที่สุด ครั้งที่ 8 ก็ไม่เหลือใครอยู่เลย หยาดน้ำตาที่คลอเบ้าอยู่ทั้งสองข้างไหลลงเป็นทาง ป่านต้องกลั้นสะอื้น และใช้หลังมือปาดน้ำตาที่อาบแก้ม
มันเป็นประวัติศาสตร์ที่ร้าวรานใจ แต่ก็ยังรู้สึกว่า นี่เป็นการตายเพื่อปกป้องปฐพี ชีวิตของพี่น้องผองพี่ ลูกหลานเหลน และทรัพสินย์ที่มีอยู่น้อยนิด
ถ้าเมืองหลวงมีกษัตริย์ที่เข้มแข็ง ถ้าขุนนางข้างทีเข้าใจและส่งกำลังคนและอาวุธยุทธปัจจัยมาช่วยคงไม่ตายกันทั้งค่าย อนิจจา
พม่ามีแม่ทัพใหญ่ชื่อเนเมียวสีหบดี แต่ส่งกำลังออกมาสู้รบกับชาวบ้านบางระจัน 8 ครั้ง 8 คน ดังนี้คือ งาจุนหวุ่น เยกินหวุ่น ติงจาโว สุรินทรจอข้อง แยจออากา จิกแก อากาปันคยี และสุกี้ พร้อมด้วยช้างม้าศาตราวุธครบถ้วน ปืนใหญ่ ปืนยาว ดาบ หอก และเสบียงเพียบพร้อม
ส่วนแม่ทัพฝ่ายชาวบ้านบางระจันนั้นมีเพียงนายแท่น และพวกที่สลับหมุนเวียนกันออกไปสู้จนตัวตายไปหมดสิ้น หล่อปืนใหญ่ก็แตกใช้การไม่ได้ กำลังเสริมก็ไม่มี
พุทธศักราช 2310 พระเจ้าเอกทัศน์ก็มีอันต้องสิ้นพระชนย์ด้วยคมดาบของชาวพม่าอย่างสาสมกับความมักมากและอ่อนแอ
อีกทั้งโง่เขลาเบาสติปัญญา ไร้ซึ่งความกล้าหาญ ไม่รู้รักษาบ้านเมืองให้สงบและคงอยู่
ป่านนั่งดูแสงสีเสียงจบแล้วแต่อารมณ์ยังไม่ดี ยังขุ่นมัวอยู่กับความขี้ขลาดของเหล่าอำมาตย์ในกรุงศรีอยุธยาธานี
ผู้หญิงที่สิงสถิตอยู่ในวังเวียงอิ่มเอมกับความสุขที่ได้รับการปรนเปรอ จนลืมไปว่า สาวบ้านทุ่งต้องถูกข่มเหงรังแกสักแค่ไหน แต่ก็ไม่มีใครเอื้ออาทรกันเลย ตักตวงเอาแต่ความสุขจนล้นปรี่
สักวันหนึ่ง อาจเหมือนซึ่งหญิงชาวบ้านบางระจันที่ถูกกระทำบ้าง ในเมื่ออยากอยู่อย่างอยาก ต้องมีสักวัน ต้องมีสักวัน ฉันจะรอดู
ป่านเดินไปชมการแสดงแต่งแต้มสีสันบนเวที ที่เหล่าเยาวชนคนเก่งกำลังบรรเลงให้ชมอย่างคล่องแคล่วและน่ารัก หลังจากนั้นก็มีการประกวดนางงามวีรชนคนบางระจัน สามงามจากบ้านเกิดบางระจันเท่านั้นที่ขึ้นไปประลองความงาม
นึกไม่ถึงจริงๆว่า บ้านบางระจันจะมีสาวงามถึงเพียงนี้ โอ้....นารี
นึกว่าพม่ามันฆ่าราวีไปเสียสิ้นแล้ว วันนี้ ชาวบ้านบางระจัน เมืองสิงห์บุรี เป็นอีกธานีที่ทรงคุณค่าแก่การสร้างแรงบรรดาลใจให้กล้าหาญ และฟื้นความหลังให้เยาวชนคนรุ่นหลังๆได้รู้
ภาคภูมิและซึมซับความกล้าหาญของบรรพบุรุษแห่งตน
ระยะทาง 147 กม.จากกรุงเทพบนถนนสายเอเซีย ขนาดข้างละ 8 เลน ขับรถยนต์สบายๆ 1 ชั่วโมงครึ่งก็ถึงแล้ว ถ้าไม่อยากพักค้างก็กลับไปนอนบ้านที่เมืองกรุงเทพฯได้เลย
แต่ถ้าขี้เมื่อย ขี้ง่วง และขี้มักอยากจะค้างคืนในที่ที่ได้ไปละก้อ พักค้างได้ที่โรงแรมแกรนด์ ลิโอ ในตัวเมืองสิงห์บุรีก็ได้ สะอาด สวย และสะดวกสบาย ราคากันเองๆ
เปิดเว็บไซท์ดูได้ที่ www.grandleo.com
อนาคตนักสู้กู้แผ่นดิน หนูก็จะสู้ตายค่ะ..