เสือกลิ่นสาบ
โดยอินทรีดำ
ตอน21. สารวัตรใหญ่ขอร้อง (2)
นาฬิกาบนข้อมือซ้ายของมณีบอกเวลาตีสามเข้าไปแล้ว อากาศเย็นลงจนสบายเนื้อสบายตัว ยังไงเสียคืนนี้ไม้คงจะไม่ลง แต่แล้วก็มีเสียงรถวิ่งมาด้วยความเร็วจากทางนาน้อย เป็นรถกระบะสีเขียว พอมาถึงด่านก็จอดพรืด คนขับเปิดประตูรถแล้วเดินดิ่งมายกมือไหว้มณี ๆ รับไหว้แล้วร้องทัก “อ้าว!”
“หัวหน้าครับ ผมถูกบังคับให้เอารถสาลี่สองคันขึ้นไปบรรทุกไม้ลงมา ไม่งั้นผมก็มีปัญหาครับ”
นายแท้ผู้รับช่วงชักลากไม้ของบริษัททำไม้นั่นเอง นายแท้เป็นคนที่บ้านไผ่ใกล้ๆ โรงเลื่อยอำเภอเวียงสา ซึ่งก็ผ่านเข้าผ่านออกหน้าสำนักงานพัฒนาป่าไม้ที่ นน.2 มาแต่ไหนแต่ไร มณีฟังนิ่งๆ
“ผมจะทำยังไงดีครับหัวหน้า ” นายแท้พูดไปด้วยใบหน้าเศร้าหมองเต็มที
“ผมเกรงใจสารวัตรใหญ่เหมือนกัน ท่านสั่งให้ผมไปพบเมื่อหัวค่ำ บอกผมว่าจะขนไม้สองคันรถ ขอให้ผมเปิดทางให้ แต่ผมได้รับคำสั่งมาจากป่าไม้เขตแพร่ต้นสังกัดให้มาเฝ้าดักจับ ผมไม่รู้จะช่วยได้อย่างไร แต่..จะรอจนสว่างแล้วจะขึ้นไปตรวจสอบ” มณีพูดเรียบๆ แบบว่าหนักใจมากเหมือนกัน
“ผมลาละครับ” นายแท้ขึ้นรถกระบะได้ก็บึ่งขึ้นดอยผาชู้ไปทันที
“สมชาย ประเสริฐ ทุกคนเตรียมตัว สว่างเมื่อไรก็ขึ้นไปดอยกันทันที” มณีพูดไม่ค่อยเต็มเสียงนัก
“บุกขึ้นไปจับเลยไหมพี่” ประเสริฐถาม
“ปืนเต็มรถตำรวจนะ” สมชายติง
มณีนั่งซึม ยิงกันแน่ถ้าขึ้นไปจับ แต่ไม่จับหรือก็ลำบากใจ
“เช้าจับ เอาให้เห็นหน้ากันจะๆไปเลย” มณีพูดเสียงเข้ม
ทุกคนนั่งๆ นอนๆ ด้วยความกระสับกระส่าย ไม่สบายใจกันนักที่รู้ทั้งรู้ว่ามีรถไม้เถื่อนอยู่บนดอย ไม่จุดใดก็จุดหนึ่ง กำลังชักลากไม้เถื่อนผิดกฎหมายลงมาจังๆ ถ้าจับก็เป็นคดีใหญ่ ได้รถชักลากไม้อีกสองคัน แต่...............
“พี่ รับปากสารวัตรใหญ่ไว้หรือครับ” ประเสริฐถามขึ้นมาด้วยความสงสัย
“ลูบหน้าปะจมูก เพื่อเห็นแก่หน้าเขา พี่ก็เลยบอกว่า ถ้าขนลงมาก็จับ ทางออกคือต้องทิ้งไม้ในป่าให้เราตามไปจับไม้ไม่มีตัว ช่วยได้แค่นี้”
“ถ้าเป็นพวกเราจะทำยังไง กินเหล้าก็กินด้วยกัน ไปมาหาสู่กันเหมือนพี่น้องผองเพื่อน ไอ้สาไอ้อ้วนยกพวกไปตีกันบนวงรำวงหน้าโรงพักเขาๆ ก็ยังไม่เอาเรื่อง พวกมึงจำเรื่องได้ไหม” มณีถามไอ้สา
“ได้ครับ ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเป็นคนของสำนักก็คงโดนคดีกันทั้งคู่ อ้อ! ไม่ใช่ครับ ทั้งหมู่บ้าน” สมชายฟังแล้วงงๆ มองหน้าคนนั้นทีคนนี้ที
“ไอ้สากับไอ้อ้วน พาชาวบ้านไปเต้นรำวงหน้าโรงพัก เขามีงานวันตำรวจ หาเงินการกุศล แต่ดันไปตีกันจนงานเขาพัง สู้เขาไม่ได้ไอ้เวรคู่นี้ยังกลับมายกพวกไปตีกับเขาอีก พี่ก็พูดไม่ออกเลย ยังต้องไปกราบขอโทษและขอบคุณเขาที่ไม่เอาเรื่อง” มณีเล่าให้สมชายฟัง
“ใช่ๆ ๆ ผมก็ไปด้วย” เผ่นพูดขึ้น สมชายหัวเราะดังลั่น
“มิน่า ผมถึงคิดไม่ออก ทำไมพี่ไม่ขึ้นไปจับทั้งรถทั้งไม้บนดอยเลย” มณีมองหน้าสมชาย
“ไอ้พวกนี้ก่อคดีไว้นี่เอง พี่ถึงอ่อนๆ แข็งๆ ” สมชายเติมความอึดอัด
“อยู่บ้านป่าเมืองดอยก็ยังงี้ รู้จักกันหมด เหมือนเล่นเกมส์กันอยู่” ประเสริฐเอ่ยขึ้นบ้าง
ฟ้าสางสว่างแล้ว พวกเรายังรีรออยู่ที่เดิม แต่ก็เตรียมตัวจะออกทำงาน
“หัวหน้า มีรถวิ่งลงมาดังกระหึ่มเลย ผมว่ารถไม้ลงมาแน่นอน” ส่วนว่าพลางวิ่งถลาออกไปดักกลางถนน
“เฮ้ย ! หลบเข้ามา เดี๋ยวแม่งย่ำเหลว” สมชายตวาด
รถสาลี่ชักลากไม้สองคันวิ่งมาจอดตรงหน้าด่าน นายแท้วิ่งเข้ามาไหว้อีกที สักครู่ก็มีรถกระบะตามไปอีกคัน
“ผมทิ้งไม้ก่อนถึง กม.16 นะครับ ทั้งสองคันครับ ผมเสี่ยงไม่ได้ ผมเจ๊งแน่ๆ ขอบคุณครับหัวหน้า” นายแท้ยกมือไหว้แล้วขึ้นไปบึ่งรถสาลี่ชักลากไม้กลับไปบ้านทันที
“ไปเถอะพวกเรา ไปจับไม้สารวัตรใหญ่แล้วไปส่งคดีให้กับสารวัตรใหญ่กันดีกว่า”
สมชายตะโกนเสียงดัง เสียงหัวเราะดังครืนแล้วกระโดดขึ้นรถกันด้วยความฉับไว มณีหน้าหงิกยิ่งกว่าหน้าม้าหมากรุก
สมชายบึ่งปีศาจขาวขึ้นดอยผาชู้ วิ่งไปก็บ่นไปตามสไตล์ มณีนั่งตรึกตรองเรื่องราวการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะหัวหน้าสำนักพัฒนาป่าไม้ที่ นน.2 ด้วยความรู้สึกหมองหม่นย มันเป็นความยะโสโอหังที่ได้ควบคุมพื้นที่กว้างขวาง ได้ควบคุมทุกกิจกรรมในพื้นที่ ได้ควบคุมการทำไม้ของบริษัทสัมปทานทำไม้ และองค์การอุตสาหกรรมทำไม้ มีเจ้าหน้าที่ให้บริหารจัดการมากกว่า 20 คน โก้ไม่หยอก แต่เศร้าสลดฉิบ... มันกลับเป็นตราบาปที่ไถ่ถอนได้ยากเย็น
“ตลอดเวลาปีกว่าๆ จับไม้รายใหญ่ก็หนีไม่พ้นไม้ตำรวจ สจ. ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน คหบดี ล้วนเป็นผู้มีอันจะกินและมีอิทธิพลในท้องถิ่นทั้งนั้น โรงพักเวียงสา นาน้อย และนาหมื่น มีทุกโรงพัก มีกระทั่งพวกเรากันเอง คิดแล้วกลุ้ม ทีนี้พอจับชาวบ้านส่งตำรวจชาวบ้านก็โดนตำรวจอัดเต็มที่ เขาได้เงินเราได้ความเกลียดชัง” มณีบ่นดังๆ
พอรถข้ามสันดอยผีปันน้ำ กม.16 ก็มองเห็นกองไม้สัก สมชายเทียบรถบนไหล่ทาง
“ขนาดเส้นรอบวง 180-250 ซม ยาว
สมชายเดินไปนั่งบนต้นสักแล้วลงมือบันทึกการจับกุมตามหน้าที่ ประเสริฐกับทุกคนช่วยกันวัดไม้แต่ละท่อน สา ว.แจ้งสำนักเพื่อให้ประสานงานไปยัง ออป.มาชักลากไม้ของกลางไปเก็บรักษาไว้ที่หมอนไม้ออป.
มณีเดินไปยืนบนลำต้นไม้สักใบหน้าไม่ปรีย์เปรมเอาเสียเลย ได้แต่มองเหม่อไปยังผืนป่าเขียวขจีเบื้องหน้า ใช่ ! บนผืนป่าที่เห็นอยู่เบื้องหน้านี่แหละมณีห่วงที่สุด เป็นผืนป่าผืนสุดท้ายของอำเภอนาน้อย เป็นป่าไม้ที่สมบูรณ์สองฝั่งแม่น้ำน่าน ตรงไหนเป็นป่าไม้สัก ตรงไหนเป็นป่าดงดิบ ตรงไหนเป็นป่าเต็งรัง ตรงไหนชาวห้วยเลาอยู่และทำกิน มณีรู้ดี ใบไม้เริ่มเปลี่ยนสี บางต้นสีเหลือง บางต้นสีส้ม แต่อีกหลายๆต้นสีเขียวแก่ เรือนยอดต้นไม้ชิดติดกัน มันช่างเป็นภาพความสวยงามจับใจ มณีเศร้าใจสุดๆ น้ำตารื้นขึ้นมาจนแทบจะเอ่อท้นทำนบ มณีสูดลมหายใจเข้าเพื่อเป็นการกลั้นก้อนสะอื้นไว้อย่างยากลำบาก พลางก็นึกในใจว่า
“นี่จะปกป้องผืนป่าผืนสุดท้ายให้ชาวนาน้อยได้หรือเปล่าก็ไม่รู้”
หลังการบันทึกจับกุมเรียบร้อย มณีสั่งให้สาอยู่เฝ้าไม้ของกลาง รอ องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้มาชักลากไปเก็บรักษา รถปีศาจขาววิ่งด้วยความเร็ว ไต่ไปตามไหล่เขาที่คดโค้ง บางช่วงเป็นป่าไร่เหล่า(ทำไร่แล้วปล่อยทิ้งไว้) บางช่วงกำลังเตรียมพื้นที่จะปลูกพืชไร่ บางดอยสูงเป็นป่าดงดิบที่แน่นทึบไปด้วยพันธุ์ไม้ป่านานาพันธุ์
รถยนต์จอดหน้าโรงพัก มณีและสมชายเดินขึ้นไปแจ้งความดำเนินคดี จับไม้ไม่มีตัว ตำรวจเวรหลายคนยืนยิ้มๆ ยกมือไหว้มณีและรับดำเนินคดี ไม่เห็นสารวัตรใหญ่ในห้องทำงาน หมวดที่ยืนถือปืน M.16 ก็ไม่เห็นหน้า
“งานยักษ์เลยนะพี่” จ่าเวรพูดขึ้นลอย
“ครับ” มณีตอบสั้นๆ ไม่อยากจะขยายเรื่องราว จ่าเวรก้มหน้าจดบันทึกการจับกุม
“ของกลางอยู่ไหนพี่” จ่าเวรสอบถาม
“ออป.กำลังเข้าไปชักลากไปเก็บรักษาครับ”
“มูลค่าความเสียหาย เป็นเงินสูงไปหรือเปล่า” จ่าเวรถามอีกเมื่อถึงข้อความที่อยู่ในบันทึกการจับกุม
“ไม่หรอก คิดตามราคากลางแล้ว” มณีตอบช้าๆ
“ไม้ไม่มีตัวและรถยนต์ของกลางแน่นะครับ” จ่าเวรถามอีก
“ไม่พบรถบรรทุกไม้แต่อย่างใด เป็นไม้กองรวมกันอยู่” สมชายตอบแล้วหัวเราะฮึฮึ แต่มณีกลับนิ่ง
สายตรวจส่งคดีเสร็จก็บึ่งรถไปร้านอาหารตามสั่ง ร้านพี่นึกเจ้าเก่า
“มาแต่เช้าเลยนะหัวหน้า ได้งานใหญ่หรือครับ” พี่นึกทักทายพร้อมกับหัวเราะนิดๆ
“ครับ” มณีตอบสั้นๆ แล้วสั่งรายการกับข้าว สำหรับคณะสายตรวจ
“ต้มยำปลาแค่ น้ำข้นนะ คะน้าผัดหมูกรอบ ไข่เจียวหมูสับ ผัดกระเพราหมู ใส่พริกเผ็ดเต็มสูตร อ้อ..ข้าว 1 หม้อครับ”
“น้ำ น้ำแข็ง โซดาด้วย แม่โขงแบน” สมชายสั่งต่อ แล้วหัวเราะ “ล้างคอพี่”
มณีนิ่งผิดกว่าทุกครั้งที่จับไม้ได้ มีความกังวลอยู่ในใจและดวงตา ทุกคนก็ดูท่าไม่มีความสุขกันเท่าไร ไม่รู้ว่าจะต้องเผชิญกับอะไรอีก อาจปฏิบัติงานในพื้นที่ไม่ราบรื่น หรืออาจถูกกลั่นแกล้งจากความโกรธ นึกในใจ “คงไม่มีอะไรน่า” พี่นึกลำเลียงอาหารลงโต๊ะ ส่วนตักข้าวแจกจ่าย เผ่นรินเหล้า เติมน้ำเปล่าแล้วเหยาะโซดาอีกหน่อย คาดเดาว่าน่าจะได้รสชาติพอดี
กินจนอิ่มเพิ่งนึกขึ้นได้ “เฮ้ย ไอ้สา..”
“กินข้าวลิงไปก่อนแล้วกัน พี่ไม่ต้องห่วง ผมวางกล้วยไว้ให้มันครึ่งหวีแล้ว” สมชายบอกเล่าด้วยรอยยิ้ม มณีโล่งใจ